ฝืนไม่ไหว! หุ้นไทยหลุด 1500 กูรูชี้รับถัดไป 1,485-1,470 จุด
ส่งใจเชียร์ "หุ้นไทย" ฟื้นกลับหลังหลุด 1500 จุด กูรูประสานเสียง ดัชนีต้องกลับมายืน 1500-1505 จุดให้ได้ หากไม่ไหวอาจร่วงลงไปทดสอบแถว 1,485 - 1,470 จุด
ดัชนีตลาดหุ้นไทย ปิดการซื้อขายวันนี้(26 ก.ย.66) อยู่ที่ 1,494.02 จุด ลดลง 13.34 จุด คิดเป็น -0.88% มูลค่าการซื้อขาย 55,609.45 ล้านบาท ระหว่างวันดัชนีปรับขึ้นสูงสุด 1,514.90 จุด และลดลงต่ำสุด 1,494.02 จุด
5 หุ้นซื้อขายสูงสุด ดังนี้
1. PTTEP ปิดที่ 168.50 บาท เพิ่มขึ้น 2 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3,023.46 ลบ.
2. KBANK ปิดที่ 123 บาท ลดลง 2.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,676.04 ลบ.
3. SAV ปิดที่ 15.30 บาท เพิ่มขึ้น 15.30 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,261.59 ลบ.
4. SCB ปิดที่ 102 บาท ลดลง 1.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,250.68 ลบ.
5. BDMS ปิดที่ 27.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,022.15 ลบ.
ต่างชาติขายน้อย - รายย่อยซื้อต่อ
1505 กลับมายืนให้ได้
นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS กล่าวว่า หุ้นไทยวันนี้(26 ก.ย.66)หลุดแนวรับทางเทคนิค 1,500 จุด ดังนั้นจึงมองแนวรับถัดไปที่ 1,485 และ 1,480 จุด ถ้าดัชนีรีบาวด์แล้วไม่สามารถผ่านแนวต้าน 1,505 จุดได้ให้ลดสถานะ
ส่วนทิศทางตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ มองกรอบ 1,475-1,520 จุด โดยนักลงทุนยังวิตกเกี่ยวกับการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐแตะระดับสูงสุดในรอบ 16 ปี ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังต้องติดตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ ซึ่งภาพรวมเศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณเชิงลบ เมื่อไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของจีนไม่สามารถออกหุ้นกู้ใหม่ได้ก่อให้เกิดผลกระทบครั้งใหม่ต่อแผนการปรับโครงสร้างหนี้ของเอเวอร์แกรนด์
และปัญหาความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ยังมีอยู่จากการที่รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียจะเดินทางไปเยือนเกาหลีเหนือในเดือนหน้า ส่วนสหรัฐกำลังเจรจากับเวียดนามเกี่ยวกับข้อตกลงการขายอาวุธครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ซึ่งอาจสร้างความไม่พอใจให้กับจีนและกีดกันรัสเซียจากการขายอาวุธให้กับเวียดนาม
นอกจากนี้ ปัจจัยที่ต้องจับตาในประเทศ ทั้งในวันที่ 27 ก.ย. ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ 5/2566 (นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ในผลสำรวจที่จัดทำโดยสำนักข่าวรอยเตอร์คาดการณ์ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเอาไว้ที่ 2.25%) วันที่ 29 ก.ย. ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานภาวะเศรษฐกิจไทย และสัปดาห์ที่ 4สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง ภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคและดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) แถลงดัชนีอุตสาหกรรม
ส่วนปัจจัยต่างประเทศ วันนี้ 26 ก.ย. สหรัฐรายงานราคาบ้านเดือนก.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย. และยอดขายบ้านใหม่เดือนส.ค. วันที่ 27 ก.ย. จีน รายงานกำไรภาคอุตสาหกรรมเดือน ส.ค. สหรัฐ รายงานยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนส.ค. และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ วันที่ 28 ก.ย. สหรัฐ รายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ตัวเลข GDP 2Q66 (ขั้นสุดท้าย)
และยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (Pending Home Sales) เดือนส.ค. วันที่ 29 ก.ย. อียูรายงานอัตราเงินเฟ้อขั้นต้นเดือนก.ย. สหรัฐรายงานดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนส.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย. วันที่ 30 ก.ย. จีนรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนก.ย. เส้นตายในวันที่ 30 ก.ย. ที่สภาคองเกรสสหรัฐจะต้องผ่านกฎหมายงบประมาณก้อนใหม่ให้รัฐบาลมีเงินใช้จ่ายและหลีกเลี่ยงการเข้าสู่ภาวะชัตดาวน์
ดังนั้น แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้น 3 กลุ่มเด่นที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายภาครัฐ อาทิ 1. กลุ่มที่ได้ประโยชน์มาตรการลดค่าไฟฟ้าตามมติครม. ได้แก่ HMPRO, GLOBAL, DOHOME, CPALL, CPAXT และ CRC 2. หุ้นที่ได้รับประโยชน์นโยบายฟรีวีซ่า ได้แก่ AOT, CENTEL, ERW, SPA, RP และ AU 3. หุ้นที่รับประโยชน์จากนโยบายแจกเงินดิจิทัลคนละ 10,000 บาท ได้แก่ HMPRO, DOHOME, GLOBAL, ILM, COM7, CPALL, CRC, MAKRO, TNP KK
รอบนี้ 1470
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยทางเทคนิค บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยวันนี้(26 ก.ย.66)ทิศทางแย่ หลังหลุด 1,500 จุด มีโอกาสลงไปที่แนวรับ 1,470 จุด
ส่งใจให้ฟื้น
ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟินันเซียไซรัส ระบุว่า หุ้นไทยลงแรง หลุดแนวรับ 1505-1500 จุด หากไม่สามารถกลับมายืนแนวดังกล่าวได้ในระยะสั้น จะมีโอกาสลงไปที่แนวรับถัดไปบริเวณ 1,487 จุด


