posttoday

SAFE เล็งขายไอพีโอ 76.75 ล้านหุ้น จ่อเข้าเทรด SET ภายใน Q4/66

26 กันยายน 2566

“เซฟ เฟอร์ทิลิตี้ กรุ๊ป” หรือ SAFE เตรียมขายไอพีโอ 76.75 ล้านหุ้น คาดเข้าเทรด SET ภายในไตรมาส 4/66 โชว์ศักยภาพผู้ให้บริการทางการแพทย์เพื่อการมีบุตรครบวงจร มุ่งสู่ผู้นำระดับภูมิภาคเอเชีย

นพ.วิวัฒน์ กว้างคณานุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซฟ เฟอร์ทิลิตี้ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ SAFE เปิดเผยว่า บริษัทเดินหน้าออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ หมวดธุรกิจการแพทย์

หลังจากเมื่อวันที่ 7 มิ.ย.2566 บริษัทได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลัทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 76,746,800 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 25.25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดหลัง IPO

โดยปัจจุบันแบบไฟลิ่ง และร่างหนังสือชี้ชวนอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯคาดว่าจะเริ่มนับไฟลิ่งภายในเดือน ต.ค.2566 และเข้าซื้อขายใน SET ภายในไตรมาส 4/2566 

สำหรับเงินที่ได้จากระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทมีแผนนำไปใช้เป็นเงินลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องและโอกาสในธุรกิจในอนาคต และใช้เป็นเงินลงทุนในโครงการขยายสาขา วางเป้าหมายขยายสาขา 1-2 สาขา/ปี จากปัจจุบันให้บริการผ่านสาขาทั้ง 5 แห่ง ได้แก่ สาขาอัมรินทร์ พลาซ่า, รามอินทรา, ภูเก็ต, ขอนแก่นและศรีราชา รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ 

ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทเป็นผู้ให้บริการศูนย์การแพทย์เฉพาะทางเพื่อการมีบุตรภายใต้ชื่อ “ศูนย์การแพทย์เพื่อการมีบุตร เซฟเฟอร์ทิลิตี้ เซ็นเตอร์” โดยเป็นศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากที่ให้บริการแบบครบวงจรในไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการให้บริการด้านการเจริญพันธ์ในระดับสากล และได้รับการรับรองมาตรฐานคลินิกเด็กหลอดแก้วแห่งแรกของประเทศไทย และแห่งที่ 2 ในเอเชีย จากสถาบัน RTAC 

โดยปัจจุบัน บริษัทมี 2 บริษัทย่อย ได้แก่ (1) บริษัท เน็กเจนเนอร์เรชั่น จีโนมิค จำกัด (NGG) ดำเนินธุรกิจด้านการตรวจวินิจฉัยพันธุกรรมตัวอ่อนและทารกในครรภ์และการให้บริการด้านห้องปฏิบัติการทางด้านพันธุศาสตร์ต่างๆ เพื่อสนับสนุนธุรกิจของบริษัท รวมถึงให้บริการแก่ลูกค้าภายนอกด้วย อาทิ จากโรงพยาบาลชั้นนำ และคลินิกสูตินรีเวชและศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากในประเทศไทย ซึ่งบริษัทถือหุ้นสัดส่วน 99.99%

และ (2) บริษัท เซฟ เวลเนส จำกัด (SWC) ดำเนินธุรกิจให้บริการด้านผิวหนังและความงาม ภายใต้ชื่อ เดอะฟาวเทนเวลเนส เซ็นเตอร์ (The Fountain Wellness Center) ให้บริการลูกค้าอย่างครบวงจรตั้งแต่ก่อนและหลังมีบุตร ซึ่งบริษัทถือหุ้นสัดส่วน 80%

ขณะเดียวกัน กลุ่มบริษัทให้บริการรักษาผู้มีบุตรยากด้วยวิธีต่างๆ ประกอบด้วย 1) การรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยวิธีIUI  เป็นการฉีดน้ำเชื้อที่ผ่านการคัดกรองเข้าไปในโพรงมดลูกโดยตรง 2) การรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยวิธี ICSI คือการช่วยปฏิสนธิของไข่และเชื้ออสุจิภายนอกร่างกายและส่งกลับตัวอ่อนเข้าไปยังโพรงมดลูกเพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์3) การย้ายตัวอ่อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูก แบ่งเป็นการย้ายตัวอ่อนแบบรอบสด และรอบแช่แข็ง 4) บริการแช่แข็งเก็บรักษาเซลล์ไข่ อสุจิ และตัวอ่อน 

5) การเก็บอสุจิ ด้วยวิธี TESE หรือการเก็บอสุจิโดยตรงจากอัณฑะ 6) เทคโนโลยีคัดอสุจิด้วยวิธี IMSI ด้วยกล้องจุลทรรศน์ที่มีกำลังขยายสูงเพื่อคัดเลือกอสุจิลักษณะดีมาผสมกับเซลล์ไข่ 7) การคัดกรองอสุจิด้วยวิธี MACs Sperm เพื่อคัดกรองอสุจิที่มีคุณภาพ 

โดยปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ  ในสัดส่วน 50% เท่าๆ กัน รวมถึงมีช่องทางโซเชียลมีเดีย เช่นFacebook, Instagram, Line Official, WhatsApp และเว็บไซต์ของบริษัทในการสื่อสารข้อมูลข่าวสารต่างๆ ของบริษัทไปยังลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย

ส่วนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ บริษัทขยายเครือข่ายศูนย์การแพทย์เพื่อการมีบุตรและห้องปฏิบัติการเจริญพันธ์และสรเางความสัมพันธ์ที่ดีกับองคก์รตา่งๆ เพื่อขยายส่วนแบ่งทางการตลาดและเครือข่ายการแนะนำลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ

รวมทั้งเป็นผู้นำด้านการรักษาและให้บริการภายใต้เทคโนโลยีที่ดีเยี่ยม ด้วยอัตราความสำเร็จที่เป็นเลิศ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของคนไข้เป็นสำคัญ

พร้อมมุ่งมั่นสื่อสารและสร้างการรับรู้ของคุณค่าและความเป็นตัวตนของแบรนด์ SAFE FERTILITY ในฐานะผู้นำทางด้านการรักษาภาวะมีบุตรยาก และด้านวินิจฉัยพันธุกรรมตัวอ่อนในเอเชีย และขยายธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเพื่อเพิ่มรายได้และผลกำไรต่อลูกค้าของบริษัทอย่างยั่งยืน

นพ.วิวัฒน์ กล่าวว่า ประเทศไทยถือเป็นเดสทิเนชั่นเติมเต็มความฝันของผู้มีบุตรยากจากภูมิภาคเอเชีย และจากทั่วโลกเนื่องจากมีความได้เปรียบในหลายประการ อาทิ มาตรฐานการรักษา ความสะอาดและความปลอดภัยจาก Covid-19 การเชื่อมต่อดิจิทัลที่ช่วยเพิ่มความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว

รวมไปถึงมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง ไทย-จีนที่คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2569 เป็นต้น รวมถึงการมีนโยบายที่ค่อนข้างยืดหยุ่นและดึงดูดชาวต่างชาติ อาทินักท่องเที่ยวที่ต้องการเข้ามารับการรักษาในประเทศไทยสามารถอยู่อาศัยได้นานถึง 90 วัน รวมถึงค่ารักษาที่ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ภายใต้มาตรฐานระดับเดียวกัน ฯลฯ  

ขณะที่กลุ่มบริษัทได้ใช้ศักยภาพของกลุ่มบริษัทที่เป็นผู้นำด้านการให้บริการศูนย์การแพทย์เพื่อการมีบุตรครบวงจรที่มีแพทย์และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เฉลี่ยมากกว่า 15 ปี รวมถึงนักวิทยาศาสตร์เพาะเลี้ยงตัวอ่อนที่มีประสบการณ์มากว่า 10 ปี ในการรักษาและการคัดเลือกเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ด้วยอัตราความสำเร็จของการตั้งครรภ์เฉลี่ยสูงถึง 75% ซึ่งในปี 2563 ถึงไตรมาสที่ 1 ปี 2566 มีอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ เพิ่มขึ้นจาก 47.5% เป็น 71.6% กรณีไม่ได้ตรวจพันธุกรรมตัวอ่อน และ 63.5% เป็น 77.2% กรณีเพิ่มบริการตรวจพันธุกรรมตัวอ่อน  

นอกจากนี้ รูปแบบทางธุรกิจของกลุ่มบริษัทยังเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันที่จะผลักดันให้กลุ่มบริษัทเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยรูปแบบการให้บริการแบบ Integrated Full Service สำหรับศูนย์การแพทย์เพื่อการมีบุตรที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการให้บริการด้านการเจริญพันธ์ในระดับสากล 

ขณะเดียวกัน ยังมีเครือข่ายความสัมพันธ์ที่ดีกับโรงพยาบาล คลินิกสูตินรีเวช ศูนย์การแพทย์เพื่อการมีบุตร ห้องปฏิบัติการ และบุคลากรทางการแพทย์ การเป็นผู้นำในการจัดกิจกรรมเพื่อฝึกอบรมให้แก่นักวิทยาศาสตร์ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เช่น อินเดีย มาเลเซีย สิงคโปร์ เป็นต้น จนเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายและได้รับความไว้วางใจในการรักษาผู้มีบุตรยากที่เป็นชาวต่างชาติถึง 2,483 ราย อาทิ จีน อินเดีย เมียนมา เวียดนาม สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ฯลฯ เพื่อก้าวเป็นผู้นำด้านการรักษาผู้มีบุตรยาก การวินิจฉัยพันธุกรรมตัวอ่อนและเวลเนสในระดับภูมิภาคเอเชีย