posttoday

BDMS-CHG-THG รับผลกระทบเสี่ยงน้ำท่วมภาคตะวันออก-ใต้ จำกัด หนุนบริการพุ่ง

25 กันยายน 2566

เตือนมรสุมเข้า! ประกาศพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมในภาคตะวันออก และภาคใต้ ช่วง 25-30 ก.ย.นี้ โบรกฯ ประเมินผลกระทบจำกัดต่อ BDMS-CHG-THG เหตุ รพ. อยู่ในพื้นที่สูง มีระบบป้องกันภัยน้ำท่วม ในทางกลับกัน รับอานิสงส์การใช้บริการพุ่ง หากเกิดโรคระบาดหลังน้ำท่วม

ตามที่มีประกาศกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ติดตามสภาพอากาศ ระบุ ช่วงวันที่ 25-30 ก.ย.2566 จะมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคกลาง ภาคตะวันออก และมีฝนตกหนักถึงหนักมากในภาคใต้ เนื่องจากมีร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จะมีกำลังแรงขึ้น 

สำหรับพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน ได้แก่ ภาคตะวันออก (ระยอง, จันทบุรี, ตราด) และภาคใต้ (ชุมพร, พังงา, ภูเก็ต, สุราษร์ธานี, สตูล, ตรัง, พัทลุง, สงขลา, นครศรีธรรมราช)

นักวิเคราะห์ บล.กรุงศรี พัฒนสิน ประเมินว่า ข่าวดังกล่าวอาจทำให้เกิดความกังวลผลกระทบน้ำท่วมต่อ รพ. ในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะภาคตะวันออก และภาคใต้ ซึ่ง รพ. ที่ศึกษาและมีเครือข่ายในพื้นที่เสี่ยง ได้แก่ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS มีเครือข่าย รพ. 9 แห่ง ในภาคตะวันออก (สัดส่วนรายได้ 7% ในจำนวนนี้เป็นรายได้ รพ.กรุงเทพ พัทยา สัดส่วน 5%) และ 3 แห่ง ในภาคใต้ (สัดส่วนรายได้4%), บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG มี รพ. 1 แห่ง ในระยอง (สัดส่วนรายได้ 5%) และ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG มีเครือข่าย รพ. 3 แห่ง ในภาคใต้ (ทุ่งสง, สงขลา, ตรัง) 

โดยคาดว่า รพ. ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมดังกล่าว จะมีผลกระทบจำกัด เนื่องจากที่ตั้งของ รพ. อยู่ในพื้นที่สูง มีระบบป้องกันภัยน้ำท่วม ประกอบกับตั้งแต่เดือน พ.ค.-กลางเดือน ต.ค. ของทุกปี ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้มีฝนตกชุก ส่วนบริเวณชายฝั่งทะเล และเทือกเขาด้านรับลมจะมีฝนตกหนักกว่าบริเวณอื่น ซึ่งในอดีต รพ. ในพื้นที่ภาคตะวันออก และภาคใต้ของ BDMS, CHG และ THG ไม่ได้รับผลกระทบรุนแรง

ในทางกลับกัน มองว่า รพ. ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม มีโอกาสได้ประโยชน์จากการใช้บริการเพิ่มขึ้นหากเกิดโรคระบาดหลังน้ำท่วม ซึ่งโรคติดต่อและอันตรายที่มาจากน้ำท่วม ได้แก่ โรคระบบทางเดินหายใจ, โรคไข้เลือดออก, โรคระบบทางเดินอาหาร, โรคฉี่หนู, โรคน้ำกัดเท้า, โรคตาแดง รวมทั้งอุบัติเหตุ และการถูกสัตว์มีพิษกัดต่อย

ดังนั้น คงคำแนะนำ “Bullish” สำหรับกลุ่มการแพทย์ เนื่องจาก 1) คาดในครึ่งหลังปี 2566 กำไรรวมกลุ่มฯ กลับมาเติบโต YoY จาก รพ. ขนาดกลาง ผ่านช่วงปรับฐานเกี่ยวกับ COVID แล้ว และ 2) คาดปี 2567 กำไรสุทธิรวมกลุ่มฯ (+8%YoY) เติบโตเป็นปีแรก 

ทั้งนี้ รพ. ขนาดกลางน่าสนใจ จากคาดกำไรสุทธิปี 2566 ผ่านจุดต่ำสุด และปี 2567 คาดกำไรสุทธิ BCH (+29%YoY), CHG (+24% YoY) เติบโตเด่นกว่ากลุ่มฯ ส่วนกำไรสุทธิของ BDMS (+6%YoY) และ BH (+3%YoY) เติบโตอัตราปกติ สำหรับหุ้นเด่น เลือก BCH (Buy ราคาเป้าหมาย 23.00 บาท) และ CHG (Buy ราคาเป้าหมาย 4.00 บาท)