posttoday

JSP กางโรดแมป 3-5 ปี ขึ้นแท่นผู้นำตลาดสุขภาพครบวงจร

26 กรกฎาคม 2566

JSP ปักหมุด 3-5 ปี ก้าวสู่ผู้นำตลาดสุขภาพครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ เดินหน้า M&A ต่อเนื่อง 2 ดีล/ปี ด้วยงบ 200 ล้านบาท/ปี พร้อมดันเข้าตลาดหุ้น หลังปีนี้ปิดแล้ว 2 ดีล หนุนปี 67 รายได้เพิ่มขึ้น 200 ล้านบาท จากปี 66 ตั้งเป้ารายได้กว่า 500 ล้านบาท ทำออลไทม์ไฮ

นายสิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) หรือ JSP เปิดเผยว่า บริษัทวางโรดแมป 3-5 ปี ก้าวขึ้นสู่ผู้นำตลาดสุขภาพแบบครบวงจร หลังจากได้ขยายธุรกิจและบริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพผ่าน 3 บริษัทย่อย ประกอบด้วย     

1.บริษัท เกรซ วอเทอร์ เมด จำกัด (GWM) หลังจากเข้าลงทุน โดยถือหุ้นในสัดส่วน 52.8% ดำเนินธุรกิจโรงงานผลิตน้ำยาล้างไต (A-B Solution) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำยาสำหรับผู้ป่วยฟอกไต รวมถึงนำเข้า-ส่งออกเครื่องมือแพทย์และเวชภัณฑ์ ได้แก่ เครื่องฟอกไตเทียม, เข็มต่อสายฟอกเลือด และอุปกรณ์การแพทย์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเลือด 

อีกทั้งยังมี บริษัท วารี เมดิคอล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ GWM ที่ให้บริการด้านการติดตั้งระบบน้ำประปา และจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องกรองน้ำและติดตั้งระบบน้ำบริสุทธิ์ให้กับศูนย์ฟอกไตของ GWM และลูกค้ารายอื่นๆ การดำเนินธุรกิจของ 2 บริษัทนี้ จะส่งผลให้ JSP มีธุรกิจที่เกี่ยวกับ การบำบัดรักษาไตอย่างครบวงจร เช่น การเปิดศูนย์ฟอกไต การจัดจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ตอกย้ำเป้าหมายก้าวสู่ผู้นำด้านด้านยาและสุขภาพครบวงจร

2.บริษัท ซีดีไอพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ CDIP หลังจากเข้าลงทุน โดยถือหุ้นในสัดส่วน 65% ประกอบธุรกิจด้านการรับจ้างวิจัยเชิงวิชาการในห้องปฏิบัติการ รับจ้าง ทดสอบและวิเคราะห์ผลทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงจัดงานฝึกอบรมและสัมมนา และส่วนงานให้คำปรึกษาการยื่นขอทุนวิจัยด้านการวิจัยและพัฒนา 

โดยธุรกิจของ CDIP ถือเป็นธุรกิจต้นน้ำสำหรับการนำไปต่อยอดด้านการผลิตยา อาหารเสริม รวมถึงเครื่องสำอางสำหรับคนและสัตว์ ซึ่งมีจุดเด่น คือ ธุรกิจนี้ยังมีผู้เล่นน้อยรายในประเทศไทย จึงถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในอนาคตของ JSP 

นอกจากนี้ CDIP ยังได้เข้าลงทุนใน บริษัท เมดิส คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MEDIS) ถือเป็นธุรกิจปลายน้ำ ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจแพลตฟอร์มจำหน่ายยา 24 ชั่วโมง (24-Hour Medicine Dispenser Platform) ทำการจำหน่ายยาสามัญประจำบ้านผ่านตู้จ่ายยาอัตโนมัติแบบครบวงจรรายแรกในไทย

3.บริษัท แคร์ซูติก จำกัด บริษัทย่อยที่ JSP จัดตั้งขึ้น โดยถือหุ้นในสัดส่วน 100% เป็นบริษัทที่ให้บริการด้านอินโนเวชั่น เซ็นเตอร์ ที่มีทั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา รวมถึงรับจ้างผลิต (OEM) ผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องสำอาง รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับคน และสำหรับสัตว์ ที่ครอบคลุมทั้งสัตว์เลี้ยงภายในบ้าน เช่น สุนัข และแมว และสัตว์ในการเลี้ยงสำหรับการทำปศุสัตว์ เช่น หมู ไก่ เป็นต้น 

ทั้งนี้ เพื่อรองรับความต้องการของผู้ประกอบการกลุ่มขนาดกลางขนาดย่อมและรายย่อย (MSMEs ) แม่ค้าออนไลน์เน็ตไอดอล รวมถึงบุคคลทั่วไปที่มีความสนใจและต้องการเป็นเจ้าของแบรนด์ด้วยตัวเอง ด้วยเงินลงทุนที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยเริ่มต้นเพียง 100,000 บาท ซึ่งกลุ่มลูกค้าของแคร์ซูติก จะเป็นกลุ่มรายย่อย ที่มีเงินทุนจำกัด แตกต่างจากลูกค้าของ JSP ที่เป็นลูกค้ารายใหญ่  

ขณะเดียวกัน ในช่วง 3-5 ปี บริษัทยังคงเดินหน้าควบรวมและเข้าซื้อกิจการ (M&A) อย่างต่อเนื่อง ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพทั้งคน และสัตว์ รวมไปถึงสินค้าเกษตร โดยวางเป้าหมายไว้ที่ 2 ดีล/ปี ด้วยงบลงทุน 200 ล้านบาท/ปี แต่ละดีลจะเข้าถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 51% คาดว่าจะเริ่มเห็นดีลใหม่ในปี 2567 หลังจากปีนี้บริษัทปิดไปแล้ว 2 ดีล ได้แก่ CDIP และ GWM 

นายสิทธิชัย กล่าวว่า จากการทำ M&A ดังกล่าว คาดว่าหลังจากปี 2570 รายได้ M&A หรือการเติบโตจากภายนอก(Inorganic Growth) จะมากกว่าการเติบโตจากภายใน (Organic Growth) 

สำหรับบริษัทที่ได้ M&A เข้ามานั้น บริษัทมีแผนผลักดันเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของ CDIP คาดว่าจะสามารถยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ได้ในปี2567 ขณะที่ GWMคาดว่าจะสามารถยื่นไฟลิ่งได้ในปี 2569  

นายพิษณุ แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการขายและการตลาด JSP กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 2566 ไว้ที่กว่า 500 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่ (ออลไทม์ไฮ) แบ่งเป็นรายได้จาก OWN Brand สัดส่วน 55% และOEM สัดส่วน 45% นอกจากนี้ ตั้งเป้าหมายในปี 2567 รายได้จาก OWN Brand และ OEM จะมีสัดส่วน 50% เท่ากัน 

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายรายได้ในปี 2566 ไม่รวมรายได้ M&A เนื่องจากรายได้ M&A คาดว่าจะเริ่มเห็นชัดเจนในปี2567 ประมาณ 200 ล้านบาท เพิ่มเติมจากรายได้ Organic Growth 

ด้านกลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัท ใช้การตลาดที่เข้าถึงทุกกลุ่ม ทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ควบคู่กันไป รวมถึงช่องทางดั้งเดิม เช่น โฮมชอปปิ้ง ที่เข้าถึงกลุ่มวัยเกษียณได้ค่อนข้างดี เนื่องจากสินค้าของบริษัทเริ่มเจาะกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมีทั้งกลุ่มวัยทำงาน กลุ่มวัยเกษียณ และกลุ่มแม่ค้าออนไลน์