posttoday

จับตาโหวตนายกฯรอบ2 วันนี้ หุ้นไทยแกว่งกรอบ 1,520-1,540 จุด เชียร์“PTTEP”

19 กรกฎาคม 2566

จุดเปลี่ยนสำคัญ! เกาะติดผลโหวตนายกฯรอบ2 บวกศาลรัฐธรรมนูญรับพิจารณาเรื่องคุณสมบัติ "พิธา"หรือไม่ โบรกเคาะกรอบหุ้นไทยวันนี้ 1,520-1,540 จุด แนะเก็งกำไร “PTTEP” เคาะเป้า 165 บาท

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า การรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ประจำไตรมาส 2/66 ในกลุ่มธนาคารของสหรัฐฯที่ออกมาแข็งแกร่งเกินคาด ทั้ง Bank of America Corp และ Morgan Stanley เพิ่มแรงหนุนต่อการเก็งกำไรในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น 

โดย Dow Jones ยังเดินหน้าปิดแดนบวกเป็นวันที่ 7 ติดต่อกัน ทำจุดสูงสุดในรอบ 15 เดือน ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯวานนี้ พบว่า 1) ยอดค้าปลีก เดือนมิถุนายน ขยายตัวเพียง +0.2% m-m ต่ำกว่าคาดที่ +0.5%m-m และ 2) ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม เดือม มิ.ย. หดตัว -0.5% m-m แย่กว่าคาดที่ทรงตัว (+0.0%) ซึ่งส่งผลให้วงจรดอกเบี้ยขาขึ้นของ US ที่ต้องการแก้ปัญหาเงินเฟ้อมีโอกาสเข้าสุ่จุดยุติซึ่งล่าสุดตลาดประเมินโอกาสที่ FED จะขึ้นดอกเบี้ยเดือน ก.ค.นี้ อาจเป็นครั้งสุดท้าย เนื่องจากโอกาสในการปรับขึ้นเดือน ก.ย. เหลือเพียงแค่ 12%เท่านั้น
 

ตามติดการเมือง

สำหรับประเด็นในประเทศวันนี้ แนะเกาะติดความชัดเจนทางการเมือง โดยประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1) การเปิดโหวตนายกรัฐมนตรี รอบที่ 2 ซึ่งคงต้องติดตามว่าคุณพิธาจะมีเสียงสนับสนุนเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใดและหากยังไม่ได้เสียงถึง 376 เสียงอีกจะเพิ่มโอกาสให้พรรคเพื่อไทยขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

นอกจากนี้ คงต้องติดตาม 2) ศาลรัฐธรรมนูญว่าจะรับพิจารณาเรื่องคุณสมบัติของคุณพิธาหรือไม่ โดยบทสรุปทั้งหมด เราคาดว่าการเมืองจะปลดล็อคได้และมีแรงเก็งกำไรมากขึ้น หากไม่มีความวุ่นวายมากนัก 

จุดเปลี่ยนการเมือง

ดังนั้นมองแนวโน้มหุ้นไทยวันนี้ “แกว่งขึ้น” กรอบ 1520-1540 จุด งบกลุ่มธนาคารของสหรัฐดีกว่าคาดหนุนแรงเก็งกำไรเพิ่ม ผสานยอดค้าปลีกและผลผลิตภาคอุตสาหกรรม US ต่ำคาดสะท้อนโอกาสที่วงจรดอกเบี้ยขาขึ้นสหรัฐใกล้ยุติ ส่วนวันนี้แนะติดตามผลโหวตนายกฯรอบที่ 2 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการเมืองไทย 

โดยแนะนำเก็งกำไร “PTTEP” ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 165 บาท คาดกำไรไตรมาส 2Q23 ที่ 1.91 หมื่นล้านบาท (-1%q-q , -7%y-y) ซึ่งถือว่ามีทิศทางที่ดีขึ้นจากประมาณการเดิม แรงหนุนจากปริมาณการขายที่ทำได้ดีขึ้นจากคาดเดิม รวมถึงจะมีกำไรจากสัญญาป้องกันความเสี่ยงของราคาน้ำมัน และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน อีกทั้ง บริษัทปรับเป้าหมายปริมาณขายทั้งปีเพิ่มขึ้นจาก 456 สู่ 460 KBOED