posttoday

TPL ปิดเทรดวันแรก 2.22 บาท ต่ำจอง 32.73% เชื่อมั่นนักลงทุน VI ลงทุนระยะยาว

30 มิถุนายน 2566

TPL ปิดเทรดวันแรก 2.22 บาท ลดลง 32.73% จากราคาไอพีโอ 3.30 บาท หลัง ตลท.เตือนลงทุน เหตุซื้อขายกระจุกตัว-มีแรงเก็งกำไร พบบิ๊กล็อต ที่ 4 บาท 25.5 ล้านหุ้น รวม 101.98 ล้านบาท ฟากผู้บริหาร ปักธงรายได้ปี 66 โต 15-20% แย้มงบครึ่งปีหลังสวย รับไฮซีซั่น เชื่อมั่นนักลงทุน VI ลงทุนระยะยาว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ไทยพาร์เซิล จำกัด (มหาชน) หรือ TPL เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) วันนี้ (30 มิ.ย.2566) เป็นวันแรก ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ

โดยเปิดตลาดที่ราคา 5.90 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 2.60 บาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 78.79% จากราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ราคา 3.30 บาท ระหว่างวันปรับตัวขึ้นไปทำราคาสูงสุดที่ 7.25 บาท ปรับตัวต่ำสุดที่ 2.06 บาท และปิดตลาดที่ราคา 2.22 บาท ปรับลดลง 1.08 บาท หรือคิดเป็นลดลง 32.73% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 2,899.75 ล้านบาท

ทั้งนี้ วันนี้ (30 มิ.ย.) ข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รายงานการซื้อขายผ่านกระดานซื้อขายหลักทรัพย์รายใหญ่ (Big Lot) หุ้น TPL พบ 2 รายการ จำนวน 25.5 ล้านหุ้น ในราคาเฉลี่ย 4 บาท/หุ้น รวมมูลค่า 101.98 ล้านบาท 

ประกอบกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ข้อเท็จจริงและข้อน่าสังเกตในสภาพการซื้อขายหลักทรัพย์ บริษัท ไทยพาร์เซิล จำกัด (มหาชน) หรือ TPL และขอให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อขาย เนื่องจากพบว่าสภาพการซื้อขายภาคเช้าของวันนี้ (30 มิ.ย.) มีข้อน่าสังเกตหลายประการและมีแรงเก็งกำไรสูง ดังนี้ 

1. มีการซื้อขายกระจุกตัวในกลุ่มบุคคล ทั้งก่อนเปิดตลาด และระหว่างซื้อขาย 

ก่อนเปิดตลาด : 
พบคำสั่งเสนอซื้อกระจุกตัวในกลุ่มบุคคลในสัดส่วนเกือบ 70% ของปริมาณการเสนอซื้อทั้งหมด ซึ่งมีผลให้เปิดตลาดที่ราคา 5.90 บาท (+78.79% จากราคา IPO ที่ 3.30 บาท)

การซื้อขายภาคเช้า : 

  • Automatic Order Matching (AOM) พบการซื้อและขายกระจุกตัวในกลุ่มบุคคลเดิมประมาณ 40% และ 24% ของมูลค่าการซื้อขาย AOM ตามลำดับ มีส่วนทำให้ราคาเพิ่มขึ้นไปสูงสุดที่ 7.15 บาท และยังพบว่ากลุ่มดังกล่าวได้ส่งคำสั่งเสนอซื้อและเสนอขายในปริมาณมากหลายระดับราคาเช่นกัน 
  • Trade report ราคาสูงกว่า IPO 21.21% จำนวน 4.87% ของทุนชำระแล้ว (25.5 ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ย 4.00 บาท (IPO ที่ 3.30 บาท) 

2. มีภาวะการเก็งกำไร ด้วยมูลค่าการซื้อขายปริมาณมาก ด้วยค่า P/E P/BV สูง 

  • Turnover ratio ที่ 48.25%
  • ราคาปิดที่ 6.90 บาท (+109% จาก IPO ที่ 3.30 บาท)
  • มูลค่าซื้อขายอันดับ 1 ของ mai (อันดับ 2 ของ SET+mai) ที่ 1,710 ล้านบาท
  • P/E 138 เท่า และ P/BV 6.27 เท่า

นายภัทรลาภ ทวีวงศ์ ณ อยุธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยพาร์เซิล จำกัด (มหาชน) หรือ TPL เปิดเผยว่า ราคาเปิดซื้อขายวันนี้วันแรก เหนือกว่าที่คาดหมายไว้มาก โดยราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นและมีมูลค่าการซื้อขายคึกคักอย่างมาก สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อปัจจัยพื้นฐานของบริษัท

“หุ้น IPO ที่นำมาเสนอขายมีแค่ 120 ล้านหุ้น ซึ่งมีการจองซื้อเข้ามาอย่างรวดเร็ว มีผู้ที่สนใจเยอะ ด้วยธุรกิจมีการเติบโตดี และมีการดำเนินการต่อเนื่อง ซึ่งเดิม TPL อยู่ในตลาดเงียบๆ เพราะด้วยความเป็น Niche Market แต่เมื่อ 2-3 เดือนก่อน ที่มีการให้ข้อมูลบริษัท พอนักลงทุนได้รับข้อมูล เกิดความมั่นใจ จึงทำให้ TPL ได้รับการตอบรับที่ดี” นายภัทรลาภ กล่าว  

โดยเป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจโลจิสติกส์ของประเทศไทย สำหรับภาคธุรกิจและบุคคลทั่วไป ด้วยจุดเด่นในการส่งสินค้าขนาดใหญ่ น้ำหนักมาก หลากรูปทรง ถือเป็นผู้ให้บริการระดับ Niche ในตลาด Logistics ของประเทศไทย ภายใต้สโลแกน “ส่งหนัก ส่งใหญ่ ส่งทั่วไทย ใช้ TP Logistics” 

ขณะเดียวกัน บริษัทมีกลุ่มลูกค้ากระจายไปในกลุ่ม B2B, B2C และ C2C ในอัตราไล่เลี่ยกัน ซึ่งปัจจุบันบริษัทให้บริการจัดส่งสินค้าและสิ่งของประมาณ 350,000-600,000 ชิ้นต่อเดือน มีจุดให้บริการกว่า 120 แห่งทั่วประเทศ และยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากสอดคล้องกับทิศทางของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของไทย

ทั้งนี้ ภายหลังจากการระดมทุนในครั้งนี้ จะทำให้บริษัทเป็นที่ยอมรับทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ พร้อมเดินหน้าลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ทั้งการลงทุนในศูนย์คัดแยกและกระจายสินค้าระดับภูมิภาค (Regional Hub) ที่จังหวัดนครสวรรค์ นครราชสีมา สุราษฎร์ธานี และการลงทุนในศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Center) ในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการคัดแยกและกระจายสินค้า 

โดยตั้งเป้าหมายจะสามารถเพิ่มศักยภาพการจัดส่งสินค้าเต็มความสามารถอยู่ระดับ 1 ล้านชิ้นต่อเดือน ภายใน 3 ปี หรือเติบโตเท่าตัว รวมทั้งมั่นใจว่ากลุ่มพันธมิตรที่ร่วมถือหุ้น จะช่วยสนับสนุนและเพิ่มโอกาสต่อยอดธุรกิจได้ในอนาคต

อีกทั้งการลงทุนในยานพาหนะที่เป็นรถขนส่ง EV ทั้งรถ 6 ล้อ จำนวน 28 คัน และรถ 4 ล้อ จำนวน 51 คัน จากปัจจุบันบริษัทมีรถรวมกว่า 300 คัน รวมถึงการสร้างสถานีชาร์จ เพื่อใช้ในการขนส่งสินค้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และภาคกลาง คาดว่าจะสามารถลดต้นทุนพลังงานเชื้อเพลิงได้กว่า 50% ช่วยสนับสนุนให้รายได้และกำไรเพิ่มขึ้น โดยน่าจะสะท้อนผลการดำเนินงานในต้นปี 2567  

ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 15-20% 

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 15-20% จากปีก่อน ที่มีรายได้อยู่ที่ 480.75 ล้านบาท เติบโตกว่าอุตสาหกรรม เนื่องจากการขนส่งของบริษัทมีความเป็น Niche Market แตกต่างจากรายอื่นๆ ในตลาด ด้วยจุดเด่นในการส่งสินค้าขนาดใหญ่ น้ำหนักมาก หลากรูปทรง และส่งถึงหน้าบ้าน ประกอบมีกลุ่มลูกค้าหลายกลุ่ม ได้แก่ B2B, B2C และ C2C 

นอกจากนี้ บริษัทยังมีการขยายบริการเสริมที่เพิ่ม Value Added ในกลุ่ม C2C จากเดิมที่ให้บริการเสริมกับกลุ่ม B2B และ B2C ดังนั้นทำให้บริษัทมีช่องว่างทางการตลาดที่ยังเติบโตได้ อีกทั้งในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 คาดว่าผลการดำเนินงานจะเติบโตได้ดี เนื่องจากโดยปกติในไตรมาส 3-4 เป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ

เชื่อมั่นนักลงทุน VI ถือยาว

นายภัทรลาภ กล่าวว่า กรณีที่มีนักลงทุน VI เข้ามาลงทุนใน TPL และไม่ติด Silent Period นั้น เชื่อมั่นว่านักลงทุน VI จะอยู่กับ TPL ต่อไป ซึ่งการเข้ามาลงทุนดังกล่าวเป็นการเข้ามาลงทุนตั้งแต่เมื่อ 2-3 ปี ก่อนที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหุ้น เนื่องจากมองเห็นศักยภาพในการดำเนินงาน และโอกาสการเติบโตของ TPL ถึงได้เข้ามาลงทุน เมื่อบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้ศักยภาพของ TPL เพิ่มขึ้นจากศักยภาพก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ มีโอกาสเติบโตชัดเจน 

จากการตรวจสอบรายชื่อผู้ถือหุ้น 10 รายแรก พบว่า บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AQUA ถือหุ้นอันดับ 2 ในสัดส่วน 26.73% “สุระ คณิตทวีกุล” ถือหุ้นอันดับ 3 ในสัดส่วน 3.82% “สุธิดา มงคลสุธี” ผู้ถือหุ้นอันดับ 10 และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX ถือหุ้นอันดับ 4 ในสัดส่วน 3.34% 

“บัญชา พันธุมโกมล” ผู้ถือหุ้นอันดับ 4 ของ บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 ถือหุ้นอันดับ 5 ในสัดส่วน 2.77% “หมอพงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี” ถือหุ้นอันดับ 6 จำนวน 10,000,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 1.91% “ปรินทร์ โลจนะโกสินทร์” ผู้ถือหุ้นอันดับ 1 และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANB ถือหุ้นอันดับ 7 ในสัดส่วน 1.62%

“วรพจน์ อำนวยพล” (บอย SKY) ผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ของ บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY ถือหุ้นอันดับ 8 ในสัดส่วน 1.62% “พีรเจต สุวรรณนภาศรี” อดีตผู้บริหาร และเจ้าของ บริษัท แกรททิทูด อินฟินิท จำกัด (มหาชน) หรือ GIFT ถือหุ้นอันดับ 9 ในสัดส่วน 1.53% และ “ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร” ผู้ถือหุ้นอันดับ 2 และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ของ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC ถือหุ้นอันดับ 10 ในสัดส่วน 1.26%

ข่าวล่าสุด

เปิด Top 3 ดวงขึ้นแรงสุด 12 นักษัตร นักธุรกิจ ใครปัง รับปีม้าไฟ