posttoday

BTS แจงกรณี ป.ป.ช. กล่าวหา ยืนยันไม่เคยฮั้วประมูล คีรีย้ำไม่หยุดเดินรถ

14 มีนาคม 2566

BTS แจงกรณี ป.ป.ช. กล่าวหา ยืนยันไม่เคยฮั้วประมูล มั่นใจพร้อมชี้แจงข้อมูลสัญญาจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ย้ำไม่หยุดเดินรถแน่นอน แม้ตอนนี้ยอดหนี้ที่ติดอยู่เกือบ 5 หมื่นแล้ว

ตามที่ก่อนนี้มีรายงานข่าวว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเมื่อวันที่ 10 ม.ค.2566 แจ้งข้อกล่าวหา ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ขณะดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และพวกรวม 13 คน

กรณีว่าจ้าง บมจ. ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ BTSC ผู้ให้บริการเดินรถไฟฟ้า BTS เพื่อเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย 3 เส้นทาง ถึงปี 2585 โดยหลีกเลี่ยงและไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542

ล่าสุดนายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ และนายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่  พร้อมด้วยพ.ต.อ. สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ที่ปรึกษาประธานกรรมการ บมจ. ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือรถไฟฟ้าบีทีเอส (BTS) กล่าวชี้แจงข้อเท็จจริงถึงกรณีดังกล่าวว่า 

ข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบกับความเชื่อมั่นของบริษัทฯ อย่างมาก และมีผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมด 13 ราย ทั้งในส่วนของบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด กับ บมจ. ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ โดยเป็นการกล่าวหาในเรื่องกระทำการทุจริตในสัญญาการให้บริการเดินรถ และซ่อมบำรุงโครงการทั้งหมด 3 เส้นทาง

ได้แก่ ส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท สถานีอ่อนนุช-แบริ่ง , สายสีลม สถานีสะพานตากสิน-วงเวียนใหญ่ และการต่อสัญญาว่าจ้างเดินรถไฟฟ้าในเส้นทางสถานีหมอชิต-อ่อนนุช และสนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน ซึ่งจะหมดสัญญาสัมปทานในปี 2572 ออกไปอีก 13 ปี เพื่อให้ทั้ง 3 เส้นทางไปสิ้นสุดพร้อมกันในปี 2585

ด้านนายสุรพงษ์ กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นยังคงเป็นเพียงการแจ้งข้อกล่าวหาจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. เท่านั้น และบีทีเอสยังไม่ถูกฟ้องร้องหรือดำเนินคดีแต่อย่างใด และมีสิทธิที่จะคัดค้านเพื่อแก้ไขข้อกล่าวหาตามกระบวนการของกฎหมาย และทางบริษัทฯ ยินดีให้ความร่วมมือตามกระบวนการทางกฎหมายทุกขั้นตอน พร้อมยืนยันว่าการทำสัญญาจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายได้ดำเนินการอย่างถูกต้อง ตามกฎหมาย และปราศจากการฮั้วประมูลใด ๆ

รวมถึงเปิดเปิดเผยอีกว่า บริษัทฯ ทราบว่าก่อนการจ้างในครั้งนี้ ทาง กทม.ได้มีการหารือไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาในปี 2550 ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาได้วินิจฉัยโดยสรุปว่า การที่ กทม. มอบหมายให้ กรุงเทพธนาคมฯ ดำเนินโครงการ และบริษัทได้มาว่าจ้างเอกชนเดินรถ โดยได้รับค่าจ้างเป็นการตอบแทน มิใช่การร่วมลงทุนกับเอกชน

นอกจากนั้นการทำสัญญาจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายนี้ได้ผ่านการสอบสวน จากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ในปี 2555 แล้ว โดยหลังสิ้นสุดการสอบสวนในปี 2556 กรมสอบสวนคดีพิเศษและสำนักงานอัยการสูงสุดได้เห็นควรไม่ฟ้องบีทีเอส

BTS แจงกรณี ป.ป.ช. กล่าวหา ยืนยันไม่เคยฮั้วประมูล คีรีย้ำไม่หยุดเดินรถ ฝั่งนายคีรี ที่ตลอดการชี้แจ้งได้แสดงออกถึงอารมณ์และความรู้สึกอย่างมากนั้น ได้เปิดใจต่อกรณีดังกล่าวว่า จากข่าวที่ปรากฏทางสื่อมวลชนว่า ป.ป.ช. แจ้งข้อกล่าวหาอดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครกับพวก 13 คน ซึ่งปรากฏชื่อผมและบีทีเอส ในความผิดสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบและความผิดฮั้วประมูล โดยในเนื้อข่าวมีการนำเสนอภาพเอกสารราชการของ ป.ป.ช. และ อ้างว่ามาจากแหล่งข่าวระดับสูงของ ป.ป.ช.

วันนี้ขอใช้พื้นที่สื่อแถลงข้อเท็จจริงและทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน ว่าเรื่องราวดังกล่าวการดำเนินคดีในเรื่องนี้ของ ป.ป.ช. ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2555 จากการที่ ส.ส.ท่านหนึ่งได้ร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษและ ป.ป.ช. กล่าวหากรณีที่ กทม. ทำสัญญาจ้างบีทีเอสเดินรถส่วนต่อขยายส่วนที่ 1

โดยเบื้องต้นกล่าวหาว่า กทม. ไม่มีอำนาจดำเนินการ เพราะตามประกาศคณะปฏิวัติกำหนดให้เป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย DSI ในเวลานั้นได้ทำการสอบสวนเสร็จสิ้น และมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องผมและบริษัทฯ เพราะจากพยานหลักฐานไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับผม และบริษัทเลย และพนักงานอัยการก็มีความเห็นไม่สั่งฟ้องไปแล้ว 

“ส่วนคดีที่อยู่กับ ป.ป.ช. ผมไม่ทราบเรื่อง เพราะไม่เคยแจ้ง หรือเรียกไปให้ข้อมูล จนกระทั่งในช่วงเวลาที่ผมได้แสดงตัวต่อสู้กับเรื่องการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มที่ไม่ถูกต้อง ผมได้รับทราบข้อมูลจากคุณสุรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ของบริษัทฯ ว่า ป.ป.ช. ได้มีหนังสือเชิญไปให้ข้อมูลเรื่องหุ้นของบีทีเอสที่มีราคาเปลี่ยนแปลงไปในช่วงเวลาที่มีการทำสัญญาว่าจ้างเดินรถ ซึ่งเรื่องนี้ได้ชี้แจงกับ ป.ป.ช. แล้วว่า ราคาที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากบริษัทฯ ได้มีการรวมหุ้น  นี่คือเรื่องเดียวที่บริษัทโดยคุณสุรพงษ์ ได้ให้ข้อมูลกับ ป.ป.ช. และเราก็เริ่มมีความรู้สึกแปลก ๆ ว่า เรื่องนี้จบไปแล้วไม่ใช่หรือ แล้วทำไมยังมีการสอบถามเรื่องนี้อีก จนกระทั่งได้มีหนังสือแจ้งข้อกล่าวหามาที่ผมและผู้เกี่ยวข้อง” 

นอกจากนี้นายคีรียังเปิดใจเพิ่มเติมอีกว่า ในความรู้สึก ก็เกิดความแปลกใจ แต่ก็ไม่เหนือความคาดหมาย เพราะทราบว่า เรื่องนี้มีความพยายามที่จะดึงเราเข้าไปร่วมถูกดำเนินคดีด้วย แต่การดำเนินการของ ป.ป.ช.ในเรื่องนี้ มีหลายเรื่องที่สร้างความสงสัย เพราะบริษัทฯ และผมเป็นนักลงทุน เป็นเอกชนที่รับจ้างทำงานบริการสาธารณะแทนรัฐบาล

"เราไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องหรือมีอำนาจหน้าที่ในการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ แต่วันนี้เราถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่า ร่วมกับเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งในบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา ฝ่ายกฎหมายอ่านตั้งแต่บรรทัดแรกจนบรรทัดสุดท้าย ต้องเรียนว่า เรายังไม่ทราบเลยว่า เราไปร่วมกระทำความผิดกับใคร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร และมีพยานหลักฐานใดที่ยืนยันว่าเราไปกระทำความผิด"

ดังนั้นจึงได้พยายามค้นหาความจริง และพบว่าเรื่องนี้มีการตั้งอนุกรรมการไต่สวนมาหลายปีแล้ว ซึ่งมีการสอบปากคำบุคคล และรวบรวมพยานหลักฐานจนเสร็จสิ้นแล้ว และนำเสนอต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยมีความเห็นว่า ไม่มีความผิดเห็นควรให้ยุติเรื่อง แต่มีอำนาจบางอย่าง ไม่ต้องการให้เรื่องนี้จบ และดึงบีทีเอสเข้าไปสู่ขั้นตอนการแจ้งข้อกล่าวหา เพื่อเอาชนักปักหลังผม ให้ผมหยุดเรื่องสายสีส้ม แต่คนอย่างผมไม่เคยยอมเรื่องที่ไม่ถูกต้องอยู่แล้ว เรื่องเลยมาจบแบบนี้

"จึงอยากให้เห็นภาพการต่อสู้และผลของการต่อสู้กับความไม่ถูกต้องของผม ผมดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาหลายสิบปี ผมเป็นนักธุรกิจ เป็นนักลงทุน ซึ่งกำไรที่ผมได้รับมา ผมไม่ได้เอาเปรียบประเทศ ผมตอบแทนคืนสู่ประเทศและสังคม ผมประมูลต่อสู้ด้วยตัวเลขที่แฟร์ ๆ ไม่มีการฮั้วกับใคร"

BTS แจงกรณี ป.ป.ช. กล่าวหา ยืนยันไม่เคยฮั้วประมูล คีรีย้ำไม่หยุดเดินรถ โดยนายคีรียังย้ำอีกว่า มีขบวนการที่ต้องการให้บีทีเอสได้รับความเสียหายถึงขนาดให้ล้มละลายเลย เริ่มตั้งแต่การไม่จ่ายเงินค่าจ้างเดินรถ และค่าระบบให้บีทีเอสล่าสุดที่มีจำนวนราว 4 หมื่นล้านบาท จนบีทีเอสต้องฟ้องศาลบังคับให้ ชำระหนี้และศาลปกครองกลางได้พิพากษาแล้วให้ชำระหนี้

กระทั่งถึงวันนี้ก็ยังไม่มีการชำระ และปล่อยให้พอกพูนมาเป็นจำนวนเกือบ 5 หมื่นล้านบาทแล้ว (ค่าจ้างเดินรถส่วนต่อขยาย 1 และ 2 ราว 2.7 หมื่นล้าน และค่าระบบอาณัติสัญญาณราว 2.28 หมื่นล้าน) หลังจากนั้นก็เอาเรื่องนี้มาเล่นงานเอกชน โดยเฉพาะการสมคบกันเอาข้อมูลของ ป.ป.ช.มาออกข่าว เพื่อหวังให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจและความเชื่อมั่นของบีทีเอส

และก็เป็นไปอย่างที่ต้องการ คือ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ราคาหุ้นบีทีเอสเราร่วงลงติดฟลอร์ ซึ่งต่ำสุดมาอยู่ที่ 5.40 บาท/หุ้น ปรับตัวลดลง 2.15 บาท/ห้น หรือตกลง 28.5%   (เทียบจากวันศุกร์ที่ 10  มีนาคม 2566 ) แต่ด้วยความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เข้าใจเรา ทำให้ราคาขยับขึ้นมายืนที่ใกล้เคียงราคาเดิม จึงอยากถามว่า การที่ผมมาต่อสู้เพื่อความถูกต้องในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม พวกคุณเล่นงานผมถึงขนาดนี้เลยหรือ

นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมอีกว่า ข้อมูลของ ป.ป.ช. หลุดออกมายังสื่อมวลชนได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ เป็นข้อมูลในสำนวน แม้กระทั่งหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาให้ผม ยังตีตรา “ลับ” แล้วสื่อเอาข้อมูลในสำนวนออกมาเปิดเผยได้อย่างไร แสดงให้เห็นว่า มีขบวนการจ้องทำลายบีทีเอสอยู่จริง แล้วเรื่องแบบนี้ ป.ป.ช.ท่านช่วยตอบผมหน่อยว่า เอกสารของ ป.ป.ช.ท่านเอามามอบให้สื่อเพื่ออะไร ต้องการอะไร

“ผมไม่ได้กลัวการต่อสู้ทางคดี เพราะผมมั่นใจการทำงานของพนักงานทุกคนว่า ทำงานบนพื้นฐานความถูกต้อง ชอบธรรม แต่ที่ทำกันอยู่เวลานี้คือ การใช้ยุทธวิธีแบบสกปรกหรือไม่ ประธาน ป.ป.ช. ต้องหาคนปล่อยข้อมูลนี้ออกมาว่า เป็นใคร มีจุดประสงค์อะไร มิเช่นนั้นผมไม่สามารถเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ของท่านได้ และจะให้ผมยอมรับให้คณะกรรมการชุดนี้สอบสวนผมได้อย่างไร ผมคงยอมรับไม่ได้” 

พร้อมกันนี้ยังเปิดเผยอีกว่า ถ้าทำกันอย่างตรงไปตรงมา ก็ไม่มีความกังวล เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ได้สมคบกับใคร ไปทำเรื่องไม่ถูกต้อง ไม่เคยสมคบกับใครไปฮั้วประมูลงาน แต่จากพฤติกรรมที่ระบุข้างต้น วันนี้จึงไม่ไว้วางใจ ผู้ที่ทำการสอบสวน ส่วนเรื่องข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช.ที่แจ้งมา ได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายทำหนังสือสอบถามความชัดเจนการกระทำผิดที่ถูกกล่าวหา ว่าไปทำผิดอะไร ที่ไหน เมื่อไร กับใคร และยืนยันว่าจะเดินรถไฟฟ้าต่อไปไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน

"รถสายสีเขียววันนี้ที่เดินอยู่ มาจากต้นทุนของบีทีเอส ถ้าอ่อนแอมากจนถึงวันนั้น เราจะแจ้งให้ทราบก่อนจะหยุดเดินรถ ตอนนี้เรายังไม่อ่อนแอ แต่ควักไปเรื่อย ๆ สักวันก็คงมีปัญหา ถ้าต้องหยุดเดินรถ ทางผู้ว่า กทม. และรัฐบาลต้องรับผิดชอบ"

นอกจากนี้ นายคีรียังฝากถึงนักลงทุนต่างชาติจามข้อซักถามจากสื่อมวลชนอีกว่า ไม่มีบริษัทไหนบ้าเท่าผมที่ยอมให้ติดเงินถึง 5 หมื่นล้าน ซึ่งนักลงทุนต่างชาติก็ต้องวิเคราะห์เองว่าปัญหามาจากไหน แต่ในฐานะคนไทย ผมก็ขอย้ำว่าประเทศไทยน่าลงทุนในทุกด้าน แต่กรณีที่เกิดกับเราเป็นเคสพิเศษ รวมถึงยืนยันว่าจะเดินหน้าประมูลรถไฟฟ้าโครงการใหม่ ๆ อีก เพราะเป็นธุรกิจที่บริษัทถนัด แต่ไม่รู้จะล้มละลาย เพราะโดนกลั่นแก้ลงก่อนหรือไม่