posttoday

3 สถาบันต่างชาติ ให้น้ำหนักลงทุนหุ้นไทย คาด SET Index แตะ 1,800 จุด

17 มกราคม 2566

สถาบันต่างชาติ ทั้ง บลจ. อเบอร์ดีน บล. เครดิต สวิส และ บล. เจพีมอร์แกน ต่างมองตลาดหุ้นไทยเป็นหนึ่งใน safe haven ของการลงทุนในปีนี้ จากที่เศรษฐกิจในประเทศเติบโตดี ด้วยแรงส่งด้านท่องเที่ยว เงินทุนไหลเข้า และการเลือกตั้งปี 66 ซึ่งดาดว่าดัชนี SET จะไปได้ถึง 1,800 จุดในปีนี้

ด้วยมุมมองที่ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2566 จะมีการเติบโตดีกว่าในปีที่ผ่านมา จากปัจจัยรายได้ด้านการท่องเที่ยวสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลจากที่จีนเปิดประเทศเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ รวมถึงกระแสเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศมาสู่ตลาดทุน และการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นภายในปีนี้ ทำให้สถาบันการเงินจากต่างประเทศคือ ทั้ง บลจ. อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) บล. เครดิต สวิส (ประเทศไทย) และ บล. เจพีมอร์แกน (ประเทศไทย) ต่างให้น้ำหนักกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยไปในเชิงบวก 

 

สำหรับ บลจ. อเบอร์ดีนฯ ที่เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังเป็น safe haven ของการลงทุน หรือเป็นเหมือนจุดหลบภัยท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย จากการเปิดเผยของ ดรุณรัตน์ ภิยโยดิลกชัย หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารทุน Thailand ซึ่งให้กรอบ SET lndex ของปีนี้ไว้ที่ 1,669 – 1,811 จุด

 

จากสมมุติฐานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน EPS ที่ 107 บาทต่อหุ้น และราคา P/E ที่ประมาณ  15-16 เท่า โดยถือเป็นราคาที่น่าสนใจลงทุนและเป็นโอกาสดีในการเข้าลงทุนเพิ่มหากหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตามการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมีอัพไซด์ที่ไม่สูงมากนัก ดังนั้นนักลงทุนควรมีการคัดเลือกหุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากการเปิดประเทศและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเพื่อให้มีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีกว่า

 

นั่นคือแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะมีอัพไซด์ที่ประมาณ 10% ซึ่งไทยเป็นตลาดที่มีการฟื้นตัวช้าและน่าจะได้รับประโยชน์จาก 3 ด้านด้วยกันคือ 1.การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเติบโตที่ประมาณ 3.6% 2.การเข้าลงทุนของต่างชาติในตลาดหุ้นไทย 3.การเลือกตั้งภายในประเทศ

 

ทั้งนี้ ดรุณรัตน์ยังให้มุมมองอีกว่า เศรษฐกิจไทยน่าจะฟื้นตัวได้ดีจากการท่องเที่ยถึงแม้เศรษฐกิจโลกจะเกิดภาวะถดถอยจนกระทบกับการส่งออกแต่จะได้การท่องเที่ยวกลับมาเป็นตัวขับเคลื่อนหลักแทนได้  ขณะที่ฟันด์โฟลว์จะกลับเข้ามาลงทุนต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ซึ่งส่วนหนึ่งจะเป็นผลมาจากแนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาทที่มากจากความต้องการของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น

 

นอกจากนี้ด้วยที่คาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะเข้ามาท่องเที่ยวในประทศไทยประมาณ 3-5 ล้านคนในปีนี้ ซึ่งนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ 1 ล้านคน จะมีผลต่อการปรับขึ้นของ GDP ประมาณ 0.3% เช่นเดียวกับที่การลงทุนของต่างชาติในปีนี้จะเป็นการซื้อสุทธิประมาณ 2 แสนล้านบาท เมื่อเทียบช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าการลงทุนของต่างชาติยังเป็นการขายสุทธิ จึงทำให้เชื่อว่าจะยังมีโอกาสที่จะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอยู่อีกมาก จากมุมมองของดรุณรัตน์ 

 

เช่นเดียวกับการเลือกตั้ง ซึ่งพบว่าจากสถิติที่ผ่านตั้งแต่ 2001 ถึงปัจจุบันนั้น หุ้นมักมีการปรับตัวขึ้นในช่วง 3 เดือนก่อนเลือก สำหรับครั้งนี้ก็มองว่าตั้งแต่หลังเลือกตั้งจบหุ้นก็อาจยังไม่ลง เพราะตลาดจะมองไปที่นโยบายเศรษฐกิจ และใน 1 ปีแรกก็จะยังไม่ความวุ่นวายทางการเมืองเกิดขึ้น จึงไม่น่าจะมีปัจจัยใดฉุดตลาดหุ้น 

 

เราแนะนำทั้งหุ้นใหญ่ และหุ้นกลาง-เล็ก โดยหุ้นใหญ่จะได้รับอานิสงส์จากฟันด์โฟลว์ สำหรับหุ้นใหญ่ในกลุ่มอุปโภคบริโภคที่เราสนใจ ก็เช่น ซีพีออล ไมเนอร์ เป็นต้น ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคารอาจได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้นได้ ขณะที่หุ้นกลาง-เล็กจะเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ เช่น โรงพยาบาลพระราม 9 ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะน่าจะได้รับประโยชน์จากนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาในไทยเนื่องจากเป็นโรงพยาบาลที่ทางการจีนแนะนำให้เข้ามาใช้บริการ”

 

ขณะที่ตัวแทนจาก บล. เครดิต สวิส (ประเทศไทย) อย่าง วิริยะชัย จิตตวัฒนรัตน์ รองประธาน ฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน มอง SET index ว่าจะขึ้นไปแตะถึง 1870 จุดภายในสิ้นปีนี้ พร้อมกับให้น้ำหนักการลงทุนไปที่หุ้นของกลุ่มธนาคารพาณิชย์และและค้าปลีก เพราะได้ประโยชน์จาการบริโภคในประเทศ ส่วนหุ้นการแพทย์และท่องเที่ยวถือว่าดีรองลงมา จากการกลับมาของท่องเที่ยวและจากที่ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศซาอุดิอาระเบีย

 

โดยมีมุมมองที่เป็นบวกต่อตลาดไทยในปีนี้ ซึ่งแม้ภาพรวมในมุมเศรษฐกิจโลกชะลอ ทั้งจากสหรัฐฯ และ ยุโรป ซึ่งจะส่งผลต่อการส่งออกบ้าง แต่มองว่าตัวช่วยหลักคือ การท่องเที่ยว ที่ตอนนี้นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมาแค่ครึ่งทางของก่อนโควิดระบาด แต่ทั้งปีคิดว่านักท่องเที่ยวจากเอเชียจะกลับมามาก ช่วยส่งเสริมให้การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนในประเทศดีขึ้น 

 

เช่นเดียวกับความกดดันจากเงินเฟ้อต่อเศรษฐกิจไทยลดลง แบงก์ชาติจึงไม่น่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากนัก แม้จะยังขึ้นอยู่ จึงมองว่านโยบายของธนาคารกลางจะยังคงสนับสนุนการลงทุนในหุ้นไทย ซึ่งเมื่อดูในแง่ของ PE  หุ้นไทยในปีนี้ซึ่งอยู่ระหว่าง 15-16 เท่า ก็ไม่ถือว่าราคาถูกมากนัก แต่โดยรวมแล้วจากปัจจัยที่เศรฐกิจจะดีขึ้น ก็เป็นไปได้ที่รายได้ของบริษัทจดทะเบียนจะถูกปรับให้มีมุมมองดีขึ้น 

 

สำหรับด้านค่าเงินบาท ที่เริ่มแข็งค่าเร็วตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมปี 2565 จนมาถึงปัจจุบัน ซึ่งปัจจัยหลักคือนักลงทุนต่างชาติมองว่าเศรษฐกิจไทยแข็งแรงมากขึ้น นอกจากลงทุนในหุ้นแล้วก็ยังกลับมาซื้อตราสารหนี้ระยะสั้นของไทยมากขึ้น รวมถึงจากที่ค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ ก็อ่อนค่าลงมาตลอดเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น ๆ ในเอเชีย จึงคาดว่าค่าเงินบาททั้งปีน่าจะแข็งค่าขึ้น 8% เมื่อเทียบกับปลายปีก่อนหรือเป็นไปได้ที่จะต่ำกว่า 33 บาท/เหรียญสหรัฐ 
 

มองว่านักลงทุนต่างชาติที่มาซื้อหุ้นไทย จะได้กำไรจากทั้งการซื้อหุ้นไทยและจากค่าเงิน แม้จริง ๆ หุ้นไทยไม่ได้ราคาถูกก็ตาม 
 

 

ด้านจักรพันธ์ พรพรรณรัตน์ หัวหน้าสายงานวิจัยหลักทรัพย์ ของ บล. เจพีมอร์แกน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ได้ปรับมุมมองต่อตลาดหุ้นของประเทศไทยเป็น “เพิ่มน้ำหนักการลงทุน” (Overweight) จาก “คงน้ำหนักการลงทุน” (Neutral) ด้วยแนวโน้มการกลับมาของนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งกำหนดเป้าหมายพื้นฐานที่ 590 สำหรับดัชนี MSCI Thailand  และ 1,800 สำหรับดัชนี SET ในปี 2566 ตลอดจนเพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในหมวดสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต สินค้าฟุ่มเฟือย และการดูแลรักษาสุขภาพ


นอกจากนี้ยังมองว่าด้วย โครงการ “ช้อปดีมีคืน” ซึ่งเป็นโครงการคืนภาษีล่าสุดของรัฐบาล ซึ่งเปิดให้ผู้บริโภคสามารถลดหย่อนภาษีจากการซื้อสินค้าและบริการระหว่างวันที่ 1 มกราคมถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 จะช่วยเสริมการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศระยะสั้น ขณะที่การใช้จ่ายของชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นจะกระตุ้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ซึ่งในขณะนี้ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวอย่างมาก 


ในภาพรวม เจ. พี. มอร์แกน เชื่อว่าการเดินทางของนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนน่าจะกลับมาในครึ่งแรกของปี 2566 ซึ่งล่าสุดรัฐบาลจีนได้ประกาศให้เริ่มเปิดชายแดนกับฮ่องกงตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม ที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นความคืบหน้าที่สำคัญของการท่องเที่ยวข้ามพรมแดนที่กลับมาเป็นปกติ 

 

นอกจากนี้ เจ. พี. มอร์แกน มองว่าการเลือกตั้งทั่วไปของประเทศไทยในเดือนพฤษภาคมนี้น่าจะสร้างแรงหนุนในระยะสั้นแก่ตลาดหุ้น จากการวิเคราะห์ในอดีต ค่ากลางผลตอบแทนของหลักทรัพย์ไทยในช่วง 3 เดือนก่อนการเลือกตั้ง 12 ครั้งที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 5% โดยหมวดอิเล็กทรอนิกส์พลังงาน อาหารและเครื่องดื่ม และการพาณิชย์มีแนวโน้มที่จะสร้างผลตอบแทนได้เหนือตลาดรวม อย่างไรก็ดีผลบวกนี้น่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในระยะปานกลาง

 

ปัจจัยที่จะช่วยเสริมตลาดทุนไทยในปี 2566 ได้แก่เงินเฟ้อที่ชะลอลงจากราคาพลังงานที่ลดลง และการเติบโตของค่าจ้างที่ไม่สูงมากจนเกินไป ซึ่งส่งให้กำไรของธุรกิจไทยปรับดีขึ้น