posttoday

ดีลยักษ์ "เอสโซ่ - บางจาก" คาดการซื้อขายแล้วเสร็จภายในครึ่งหลังของปี 2566

12 มกราคม 2566

“เอสโซ่ – บางจาก” ดีลยักษ์ใหญ่ต้นปีสู่บริบทใหม่เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานและการเข้าถึงของผู้บริโภค พร้อมคาดการซื้อขายแล้วเสร็จภายในครึ่งหลังของปี 2566 นี้ หรือ เร็วสุด ส.ค. และ ช้า สุด พ.ย. นี้

นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งประเด็นร้อนแรงในวงการพลังงาน  โดยเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (12 ม.ค.) บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท ครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2566 ได้มีมติเอกฉันท์อนุมัติการเข้าทำธุรกรรมและเห็นชอบให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการเข้าซื้อหุ้นสามัญของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จาก ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd. 

 

โดยบางจากฯ ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นกับ ExxonMobil เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2566 และคาดว่าจะสามารถดำเนินการซื้อขายและชำระเงินค่าหุ้นแก่ผู้ขายได้ภายในครึ่งหลังของปี 2566 โดยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขบังคับก่อนที่กำหนด และเตรียมพร้อมทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมด (tender offer) ของเอสโซ่ หลังจากการทำธุรกรรมกับ ExxonMobil เสร็จสิ้น

 

ซึ่งการเข้าซื้อกิจการ ESSO ประเทศไทย โดยมีสัดส่วน 65.99% ซึ่งคิดเป็น มูลค่าเบื้องต้นราว 20,000 ล้านบาท โดยราคากิจการที่ซื้อจะเป็นราคาที่ตั้งต้นด้วย 55,000 ล้านบาท ก่อนปรับปรุงรายการทางการเงินต่าง ๆ อีกราว 25,000 ล้านบาท ทำให้เหลือเป็นราคากิจการเบื้องต้นราว 30,000 ล้านบาท และการลงทุนครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญสู่ความมั่นคงทางพลังงานที่มากขึ้นของบางจากฯ และประเทศไทย เป็นการลงทุนที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่เพิ่มความยั่งยืนและเพิ่มการเข้าถึงพลังงานได้ง่ายขึ้น


  
สำหรับการลงทุนครั้งนี้มีสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องคือโรงกลั่นน้ำมันกำลังการกลั่น 174,000 บาร์เรลต่อวัน เครือข่ายคลังน้ำมัน และสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศกว่า 700 แห่ง ก่อให้เกิดการประหยัดเชิงขนาดและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุนของบริษัท โดยจะทำให้บางจากฯ มีกำลังการกลั่นน้ำมันรวม 294,000 บาร์เรลต่อวัน 

 

และเครือข่ายสถานีบริการกว่า 2,100 แห่ง ซึ่งการเข้าทำธุรกรรมดังกล่าว เป็นการเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 65.99% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของ เอสโซ่ จาก ExxonMobil โดยมีมูลค่ากิจการ 55,500 ล้านบาท และมีกลไกการปรับราคาซื้อขายหุ้นตามที่ระบุในสัญญาซื้อขายหุ้น

 

เมื่อ บางจาก ได้รวมกับ เอสโซ่ แล้ว จะทำให้ บางจาก มีความยิ่งใหญ่เพิ่มมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว  โดยหากมองจากจำนวนสาขาบริการน้ำมันหากรวมกันจะอยู่ที่กว่า 2,100 สาขา ทั้งนี้หากนำไปเทียบกับสถานีบริการน้ำมันของผู้ประกอบการราย อาทิ เช่น โออาร์ (OR) มีสถานบริการน้ำมันอยู่ที่ 2,473 สาขา และ พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) มีสถานีบริการน้ำมัน 2,212 สาขา 

 

นอกจากนี้ บางจาก ยังมีสินทรัพย์ด้วยการถือหุ้น บริษัทท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด (Thappline) 21% และถือหุ้นบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BAFS) 7.06% ส่วน ExxonMobil จะยังคงดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หล่อลื่นและสารละลายการจำหน่ายเคมีภัณฑ์ เนื่องจากบางจากซื้อเพียงสินทรัพย์ ไม่ได้ซื้อแบรนด์ หรือ ตราสินค้า ของ ExxonMobil และถ้าหากมองในแง่ของผลประกอบการ เป็นที่แน่นอนว่าจะต้องเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อยเป็นเท่าตัว 

 

โดยการเข้าทำธุรกรรมการซื้อขายหุ้นจะอยู่ภายใต้การปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพลังงาน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และขึ้นอยู่กับการอนุมัติของผู้ถือหุ้นในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 โดยคาดว่าจะดำเนินการซื้อขายแล้วเสร็จภายในครึ่งหลังของปี 2566

 

สำหรับบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือรู้จักในชื่อ บางจาก เป็นบริษัทมหาชนด้านน้ำมันและแก๊สสัญชาติไทย โดยบางจากดำเนินธุรกิจการกลั่นน้ำมันเพื่อผลิตน้ำมันสำเร็จรูป ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ รวมถึงดำเนินธุรกิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ผลิตภัณฑ์ชีวภาพและการค้า ในปี 2563 บางจากมีส่วนแบ่งการตลาดของผู้ค้าน้ำมันในประเทศไทยเป็นอันดับ 3 โดยมีสัดส่วนที่ 10.10% จากตลาดทั้งหมด โดยมีกำลังการผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันของบริษัท 120,000 บาร์เรลต่อวันและมีสถานีบริการน้ำมัน 1,240 แห่งทั่วประเทศไทย

 

ในส่วนของ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทเป็นผู้ประกอบกิจการโรงกลั่นปิโตรเลียม และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมแบบครบวงจร อีกทั้งบริษัทยังทำการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์และเคมีภัณฑ์อื่นโดยช่องทางขายผ่านทางลูกค้ารายย่อยและทางเครือข่ายที่กว้างขวางของสถานีบริการน้ำมันค้าปลีกภายใต้ชื่อการค้าเอสโซ่ รวมทั้งขายโดยตรงให้แก่ลูกค้าในภาคอุตสาหกรรม ค้าส่ง การบินและการเดินเรือ

 

โดย ESSO ได้เริ่มจดทะเบียนจัดตั้งขึ้นในปี 2508 โรงกลั่นน้ำมันของบริษัทได้เริ่มดำเนินงานในปี 2514 และต่อมาบริษัทได้รับอนุญาตให้ขยายโรงงานและประกอบกิจการโรงงานกลั่นน้ำมันแร่ขนาดใช้น้ำมันดิบวันละไม่เกิน 35,000 บาร์เรล ภายใต้สัญญาประกอบกิจการโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมและเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียมระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมกับบริษัท ลงวันที่ 14 มีนาคม 2516 

 

และในปี 2528 รัฐบาลได้อนุมัติให้บริษัทเพิ่มกำลังกลั่นน้ำมันดิบเป็นวันละ 63,000 บาร์เรล จากการปรับเพิ่มปริมาณการผลิต หลังจากนั้นในปี 2534 รัฐบาลได้อนุมัติการเพิ่มกำลังกลั่นน้ำมันดิบที่ได้รับอนุญาตของโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทเป็นวันละ 185,000 บาร์เรล บริษัทได้ทยอยเพิ่มกำลังกลั่นน้ำมันดิบของโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทด้วยการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนมีกำลังกลั่นน้ำมันดิบในปัจจุบันอยู่ที่วันละ 174,000 บาร์เรล

 

ปัจจุบัน บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (บางจาก) หรือ (BCP) มีสินทรัพย์รวม 227,862.62  ล้านบาท ราคาหุ้น ณ วันที่ 11 มกราคม อยู่ที่ 31.75 ต่อหุ้น และมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ที่ 43,717.31 ล้านบาท ในส่วนของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (ESSO) สินทรัพย์รวม 95,817 ล้านบาท มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่ 38,415.52 ล้านบาท 

 

วันนี้จึงเป็นอีกหนึ่งวันดีๆ ที่การเซ็นสัญญาการซื้อขายระหว่าง บางจาก และ  ESSO ผ่านพ้นไปด้วยดี ซึ่งหากได้รับความเห็นชอบการอนุมัติของผู้ถือหุ้น รวมถึงการดำเนินการซื้อขายแล้วเสร็จอย่างเร็วสุดในเดือน ส.ค. ช้าสุดในเดือน พ.ย. หรือขึ้นอยู่กับการเลือกตั้งว่าจะทันรัฐบาลนี้หรือรัฐบาลหน้าด้วย ยิ่งจะทำให้ “บางจาก” มีความน่าสนใจและน่าจับตามองมากยิ่งขึ้น