ธปท.ชี้เศรษฐกิจ พ.ค.68 ชะลอ ตามภาคผลิตอุตฯ-ท่องเที่ยว-ลงทุนเอกชน
ธปท.เผย เศรษฐกิจ พ.ค.68 ชะลอลงตามการผลิตภาคอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และการลงทุนภาคเอกชน ขณะที่การส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้นมาก แนะติดตาม 4 ปัจจัยใน-นอกประเทศ
นางสาวปราณี สุทธศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในเดือน พ.ค.2568 ชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน จากการผลิตภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการด้านการค้า การขนส่ง และการท่องเที่ยว
โดยการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลง เนื่องจากบางส่วนเร่งผลิตเพื่อเติมสินค้าคงคลังไปแล้วในเดือนก่อน ประกอบกับมีปัจจัยชั่วคราวจากการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นน้ำมัน
ขณะที่รายรับการท่องเที่ยวลดลงตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงมาอยู่ที่ 2.3 ล้านคน จากเดือน เม.ย.2568 อยู่ที่ 2.5 ล้านคน โดยเฉพาะกลุ่มเดินทางระยะไกล (long-haul) ที่มีค่าใช้จ่ายต่อทริปสูง
ด้านการลงทุนภาคเอกชนลดลง หลังเร่งไปในเดือนก่อน ส่วนการบริโภคภาคเอกชนทรงตัวโดยหมวดสินค้าคงทนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่หมวดบริการปรับลดลง
อย่างไรก็ดี การส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้นมากโดยเฉพาะหมวดอิเล็กทรอนิกส์ตามอุปสงค์โลกที่ดีต่อเนื่อง และการเร่งส่งออกในช่วงระยะผ่อนผันการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
การใช้จ่ายภาครัฐหดตัว จากทั้งรายจ่ายประจำและลงทุนของรัฐบาลกลางจากผลของฐานสูงในปีก่อนที่มีการเร่งเบิกจ่ายหลัง พ.ร.บ. งบประมาณปี 2567 มีผลบังคับใช้
ในส่วนเสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบมากขึ้นจากเดือนก่อนจากหมวดอาหารสด อัตราเงินเฟ้อหมวดพลังงานติดลบใกล้เคียงกับเดือนก่อน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังปรับเพิ่มขึ้นตามราคาอาหารสำเร็จรูป
สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลลดลงตามดุลการค้าที่กลับมาเกินดุล ขณะที่ดุลบริการ รายได้ และเงินโอนขาดดุล จากการส่งกลับกำไรของธุรกิจต่างชาติตามฤดูกาลด้านตลาดแรงงานโดยรวมปรับดีขึ้นจากเดือนก่อนตามการจ้างงานในภาคการผลิตเป็นสำคัญ
ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะต่อไป กิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาพรวมชะลอลง ตามแรงส่งจากภาคท่องเที่ยวและการส่งออกที่มีแนวโน้มชะลอลง อย่างไรก็ดี การผลิตในภาคยานยนต์มีสัญญาณปรับดีขึ้นบ้าง โดยเฉพาะรถยนต์นั่ง
ทั้งนี้ ประเด็นที่ต้องติดตาม 1) นโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก 2) พัฒนาการของภาคการท่องเที่ยว 3) การปรับตัวของภาคธุรกิจที่ต้องเผชิญการแข่งขันที่สูงขึ้นและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และ 4) ความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์และปัจจัยภายในประเทศ
นางสาวปราณี กล่าวว่า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในขณะนี้ เป็นผลจากดอลลาร์อ่อนค่า และในประเทศ มาจากปัจจัยทางด้านการเมือง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันค่าเงินบาทยังสอดคล้องกับภูมิภาคและปัจจัยพื้นฐาน ทั้งนี้ ธทป.พร้อมเข้าดูแลเป็นพิเศษเมื่อค่าเงินบาทไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน


