posttoday

HSBC ลั่นขยายธุรกิจในไทยต่อเนื่อง หวั่นค่าแรง 450 บ. ฉุดต่างชาติลงทุนลดลง

01 มิถุนายน 2566

HSBC เดินหน้าขยายธุรกิจในไทยต่อเนื่อง ไร้ผลกระทบการเมือง ยังเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยแกร่ง คาดจีดีพีไทยปี 66 โต 4.1% ล่าสุดขอเพิ่มทุนในไทย 3,100 ล้านบาท ยอมรับกังวลขึ้นค่าแรง 450 บาท ฉุดความน่าสนใจเข้ามาลงทุนของต่างชาติลดลง

นายจอร์โจ กัมบา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย เปิดเผยว่า ธนาคารยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจในไทยอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทย และมองเห็นศักยภาพในการเติบโตของไทย

โดยคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของไทยในปี 2566 จะขยายตัว 4.1% เนื่องด้วยไทยเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนจากทำเลที่ตั้งที่อยู่ใจกลางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังได้รับผลบวกทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องจากการเปิดประเทศของจีน ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัว สร้างโอกาสการจ้างงาน และภาคการบริโภคแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ จากผลสำรวจ HSBC Navigator: SEA in Focus ในปี 2565 กับบริษัทต่างชาติใน 6 ตลาดหลัก (จีน อินเดีย สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และเยอรมนี) พบว่า ประเทศไทยมีความโดดเด่นในฐานะประเทศที่นักลงทุนต้องการมาลงทุน 

โดยบริษัทที่วางแผนจะมารุกธุรกิจครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มองประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุนอันดับ 1 ในภูมิภาค และมีถึง 23% จากกลุ่มตัวอย่างที่วางแผนจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยภายใน 2 ปี อีกทั้งบริษัทต่างชาติที่มีการดำเนินธุรกิจในภูมิภาคนี้อยู่แล้ว ยังมองประเทศไทยเป็นตลาดที่พวกเขาต้องการขยายธุรกิจมากเป็นอันดับ 2 รองจากสิงคโปร์ถึง 37%

ขณะเดียวกัน ขนาดของกลุ่มชนชั้นกลางในประเทศไทยเติบโตขึ้นอย่างมาก จากที่มีจำนวนไม่ถึง 5% ของจำนวนประชากรทั้งหมดของประเทศเมื่อสองทศวรรษที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเป็น 40% ของจำนวนประชากรทั้งหมดในปัจจุบัน ซึ่งมีส่วนผลักดันให้ตลาดผู้บริโภคแข็งแกร่งและความเชื่อมั่นในประเทศไทยอยู่ในระดับที่สูง 

มากไปกว่านั้น ธนาคารยินดีกับผลการเลือกตั้งของไทย โดยการเมืองไทยไม่มีผลต่อการขยายธุรกิจของธนาคารแต่อย่างไร เพราะธนาคารอยู่ในไทยมานาน เห็นวัฏจักรทางการเมืองมาหลายรูปแบบ ไม่ว่าการเมืองจะเป็นอย่างไร ธนาคารมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทย และเรามุ่งมั่นที่จะสร้างความเติบโตให้กับธุรกิจ ขยายฐานลูกค้า ลงทุนในประเทศ และอำนวยความสะดวกเพื่อเชื่อมโยงลูกค้าให้เข้าถึงโอกาสการลงทุนในระดับภูมิภาคและระดับโลก

โดยล่าสุด ธนาคารอยู่ในขั้นตอนการขอเพิ่มทุนในประเทศไทย จำนวน 3,100 ล้านบาท หลังจากเพิ่มทุนจะทำให้ทุนจดทะเบียน เพิ่มจาก 22,600 ล้านบาท เป็น 25,700 ล้านบาท และขอใบอนุญาตการจัดการกองทุนส่วนบุคคล เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม ธนาคารมีความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาท/วัน จะส่งผลให้ต้นทุนแรงงานของไทยสูงขึ้น ทำให้ความน่าสนใจเข้ามาลงทุนของต่างชาติลดลง ดังนั้นจะต้องหันไปมองที่การเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน 

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2566 ธนาคารยังให้ความสำคัญกับ 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ Global Private Banking, Wholesale Banking และ Market & Securities Services เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มบุคคลที่มีสินทรัพย์สูง (High-Net-Worth Individuals: HNWI) ในประเทศไทย และกลุ่มลูกค้าองค์กรที่แสวงหาโอกาสในการเติบโตในระดับภูมิภาคและระดับโลก 

พร้อมทั้งยังมุ่งมั่นรักษาตำแหน่งการเป็นธนาคารอันดับ 1 สำหรับธุรกิจต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย พร้อมกับวางเป้าที่จะเป็นธนาคารต่างชาติอันดับ 1 สำหรับธุรกิจไทยและผู้มีสินทรัพย์สูงในการลงทุนและขยายความเสี่ยงการลงทุนในระดับภูมิภาคและระดับโลก

ส่วนผลการดำเนินงานในปี 2565 ธนาคารมีรายได้รวม เพิ่มขึ้น 28% จากปีก่อน และกําไรก่อนหักภาษี เพิ่มขึ้น 55% ส่วนใหญ่มาจากการเติบโตของปริมาณสินเชื่อ, ปริมาณเงินฝากเพิ่มขึ้น, รายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น, ตลาดและบริการหลักทรัพย์ 

ขณะที่ธุรกิจ Retail Banking นั้น ธนาคารไม่มีแผนกลับมาให้บริการในธุรกิจดังกล่าว เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ของไทยให้บริการได้ดีอยู่แล้ว ทำให้ธนาคารไม่มีความจำเป็นที่จะให้บริการธุรกิจ Retail Banking