posttoday

ผ่าโครงสร้างค่าไฟ อะไรแพง - มีแนวทางลดภาระอย่างไร

03 พฤษภาคม 2566

ผ่าโครงสร้างค่าไฟ เดือนเมษายน แพงโหดจริงหรือ อะไรคือปัจจัยทำราคาไฟพุ่งขึ้น เป็นเพราะค่า Ft ตามกระแสโซเชียลหรือไม่ มีแนวทางในการลดภาระค่าไฟอย่างไรไม่ให้หัวร้อน

กระแสข่าวร้อนที่มาพร้อมกับหน้าร้อนของเมืองไทยในทุกๆปีก็คือ ค่าไฟแพง โดยเฉพาะปี 2566 นี้ ที่กระแสข่าวร้อนแรงเป็นพิเศษเพราะเป็นช่วงหน้าร้อนที่มีการเลือกตั้งใหญ่ การเลือกตั้งส.ส.ทั่วประเทศ ที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 14 พ.ค.2566 ที่จะถึงนี้  ประเด็นค่าไฟ จึงถูกนำมาเป็นประเด็นในการหาเสียงของทุกพรรคการเมือง ประกอบกับกระแสโซเชียลที่มีการนำบิลค่าไฟที่สูงขึ้นมาโพสต์กันหลายคน ทั้งผู้ใช้ไฟบ้าน ที่อ้างว่าค่าไฟสูงขึ้นจากเดิมเป็นเท่าตัวบ้าง หรือ แม้แต่ผู้ประกอบการบ้างรายที่หยิบเรื่องค่าไฟแพงขึ้นมาเปิดในโลกโซเชียลบ้าง หรือแม้แต่ภาคอุตสาหกรรมที่ออกมาร้องโดยยกเอาค่าไฟฟ้าของประเทศเพื่อบ้านมาเทียบว่าต่ำกว่าประเทศไทยมาก   จึงทำให้กระแส ค่าไฟแพง ร้อนแรงขึ้นยิ่งกว่าเดิม 

     ประเด็นค่าไฟแพง แพงมหาโหดจริงหรือไม่ จึงเป็นประเด็นที่ต้องทำความเข้าใจและตรวจสอบสาเหตุกันว่า เป็นเพราะเหตุใด มีปัจจัยพื้นฐานอะไร หรือมีปัจจัยอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ เพื่อทำความเข้าใจเรื่องนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรู้ในเรื่องเหล่านี้

โดยพื้นฐานการคิดค่าไฟ มีหลักเกณฑ์อย่างไร 

     ปัจจุบันนี้ การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มีหลักการคิดคำนวณค่าพลังงานไฟฟ้าที่ใช้งานในบ้านเรือนด้วยมาตรฐานเดียวกัน อัตราเดียวกัน ใช้เหมือนกันทั่วประเทศไม่มีแบ่งโซนภูมิภาคแต่อย่างใด โดยการคิดคำนวณค่าไฟฟ้านั้นจะมีตัวเลขประกอบกันอยู่ 4 ส่วน ได้แก่

     1. ค่าไฟฟ้าพื้นฐาน
     2. ค่าไฟฟ้าผันแปรหรือ Ft
     3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม
     4. ค่าบริการ

     จะเห็นได้ว่าตามโครงสร้าง มีส่วนสำคัญในการกำหนดราคาค่าไฟอยู่ 2 ส่วน คือ ค่าไฟฟ้าพื้นฐาน และ ค่า Ft ส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นไปตามฐานของราคาค่าไฟ ส่วน ค่าบริการ จะคิดจากขนาดของมิเตอร์และปริมาณการใช้ไฟ ซึ่งอยู่ที่ประมาณ เดือนละ 8.19 - 38.22 บาท 

ค่าไฟฟ้าฐาน คืออะไร 

     เป็นค่าไฟฟ้าที่สะท้อนรายจ่ายของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ซึ่งเป็นการลงทุนเพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในอนาคตของประเทศ ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศในช่วง 15 ปีข้างหน้า ที่จัดทำโดยคณะอนุกรรมการการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า ประกอบด้วยรายจ่ายของการไฟฟ้า 3 ส่วนหลัก ได้แก่

ส่วนที่หนึ่ง: ต้นทุนทางการเงินที่การไฟฟ้าใช้ในการก่อสร้างขยายระบบผลิต ระบบส่งและระบบจำหน่ายในอนาคต

ส่วนที่สอง: ต้นทุนในการดำเนินงาน เช่น ค่าใช้จ่ายดำเนินงานและบำรุงรักษาระบบผลิต ระบบส่งและระบบจำหน่าย ค่าบริหารจัดการ ตลอดจนผลตอบแทนการลงทุน

ส่วนที่สาม: ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้า

ค่าไฟฟ้าผันแปรหรือ “ค่าเอฟที” (Ft)

     ส่วนที่สองคือ “ค่าเอฟที” ซึ่งคำว่า Ft เดิมหมายถึง ค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิง (Fuel) ที่แปรผันไปตามเวลา (Adjustment time) ณ ที่นี้ หมายถึง ค่าไฟฟ้าที่สะท้อนค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงเพิ่มหรือลดจากค่าใช้จ่ายพื้นฐาน

     ขั้นตอนเริ่มตั้งแต่ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลอัตราค่าพลังงานและค่าบริการพิจารณากลั่นกรองความถูกต้องของการนำค่าใช้จ่ายส่วนที่เปลี่ยนแปลงนั้นมาคำนวณในสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติเพื่อหาค่าเอฟที

     จากนั้นจึงนำเสนอ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ให้ความเห็นชอบ แล้วประกาศรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนเป็นเวลาประมาณ 5 วัน จากนั้น กกพ. จึงประกาศค่าเอฟทีดังกล่าวเพื่อให้การไฟฟ้าใช้เรียกเก็บจากประชาชน 4 เดือนครั้ง เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมสะดวกในการคิดต้นทุนสินค้า

ใครเป็นคนกำหนด ค่าไฟฟ้า ค่า Ft 

     การพิจารณากำหนด "ค่า Ft" เป็นอำนาจของ กกพ. ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 มาตั้งแต่ปี 2551

     โดยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลอัตราค่าพลังงานและค่าบริการ เพื่อทำหน้าที่กลั่นกรองความถูกต้องของการคำนวณค่า Ft ให้เป็นไปตามสูตรการคำนวณที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ใช้ แล้วนำเสนอคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานพิจารณาประกาศอนุมัติค่าเอฟทีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับทุกกลุ่ม

     ในส่วนของการกำกับดูแล กกพ. จะตรวจสอบข้อมูลการลงทุนและการดำเนินงานที่มีผลต่อการคำนวณอัตราค่าไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ โดย กกพ. จะพิจารณาครอบคลุมถึงประสิทธิภาพในการบริหารการใช้เชื้อเพลิง การสั่งการเดินเครื่องโรงไฟฟ้า และการประมาณการความต้องการใช้ไฟฟ้า เป็นต้น

     รวมทั้งสมมติฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการคำนวณอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติทุก 4 เดือน ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ใช้ไฟฟ้า และคำนึงถึงผลตอบแทนที่เหมาะสมของการลงทุนของผู้ประกอบการผลิตไฟฟ้าด้วย

     สำหรับค่า Ft ประจำเดือนมกราคม-เมษายน 2566 กกพ. ได้ประชุมพิจารณาเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 65 และคำนวณประมาณการค่า Ft ขายปลีก 145.74 สตางค์/หน่วย เพิ่มขึ้นจากค่า Ft ที่เรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้าในใบเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้า ประจำเดือนกันยายนถึง ธันวาคม 2565 (93.43 สตางค์/หน่วย) จำนวน 52.31 สตางค์/หน่วย

โดยที่ Ft = FAC + AF 145.74=123.52+22.22 สตางค์/หน่วย

     ขณะที่ FAC คือ ต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เปลี่ยนแปลงไปจากฐาน (ค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ค่าซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ค่าซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ และค่าใช้จ่ายตามนโยบายของรัฐ) เท่ากับ 123.52 สตางค์/หน่วย เพิ่มขึ้นจากรอบที่ผ่านมา 30.09 สตางค์/หน่วย สาเหตุหลักเกิดจากอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลงจากงวดที่ผ่านมา ส่งผลทำให้ค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าเพิ่มขึ้น โดยสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2566 ยังคงใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก

     ส่วน AF คือ ค่าสะสมของผลแตกต่างระหว่างค่า Ft ที่เกิดขึ้นจริงกับค่าที่เรียกเก็บในรอบที่ผ่านมา (กันยายน -ธันวาคม 2564 และ มกราคม -สิงหาคม 2565 )และนำมาใช้ปรับปรุง ค่า Ft ในรอบนี้(มกราคม - เมษายน 2566) เท่ากับ 22.22 สตางค์/หน่วย

     นอกจากนี้ จากแนวโน้มสถานการณ์ราคาพลังงานที่ยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และความไม่แน่นอนของระบบเศรษฐกิจทั่วโลกจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 กกพ. จึงได้พิจารณาการคำนวณค่า Ft เพิ่มเติมเพื่อให้เป็นไปตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2565 ที่กำหนดนโยบายลดภาระค่าไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้า

บ้านอยู่อาศัย โดยจัดสรรก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยเป็นอันดับแรกในปริมาณที่ไม่เพิ่มภาระอัตราค่าไฟฟ้าจากปัจจุบัน ส่งผลให้ค่า Ft ขายปลีก ประจำเดือนมกราคม - เมษายน 2566

สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย เท่ากับ 93.43 สตางค์/หน่วย และ สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นๆ (ที่ไม่ใช่ประเภทบ้านอยู่อาศัย) เท่ากับ 154.92 สตางค์/หน่วย เพิ่มขึ้นจากงวดปัจจุบัน (93.43 สตางค์/หน่วย) เท่ากับ 61.49 สตางค์/หน่วย

     ดังนั้น สรุป ค่า Ft ขายปลีก สำหรับเรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้าในใบเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้าประจำเดือนมกราคม – เมษายน 2566 ดังนี้
     ค่า Ft ขายปลีก สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย เท่ากับ93.43 สตางค์/หน่วย
     ค่า Ft ขายปลีก สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นๆ (ที่ไม่ใช่ประเภทบ้านอยู่อาศัย) เท่ากับ 154.92 สตางค์/หน่วย

     สำหรับ ค่าไฟฟ้าที่ประชาชนออกมาบ่นผ่านโซเชียลว่า แพงโหดมากนั้น ทำให้ นายจาตุรงค์ สุริยาศศิน รองผู้ว่าการ การไฟฟ้านครหลวง MEA ในฐานะโฆษก MEA ออกมาชี้แจงในเรื่องดังกล่าวว่า 

     ยืนยันว่ายังใช้หลักเกณฑ์วิธีการคิดค่าไฟฟ้าจากหน่วยการใช้ไฟฟ้าในอัตราตามที่นโยบายของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กำหนด ทั้งนี้ สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ที่ https://www.mea.or.th/profile/109/111

     สำหรับสาเหตุที่ทำให้หน่วยการใช้ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นนั้น เนื่องจากช่วงนี้ประเทศไทยมีสภาพอากาศที่ร้อนจัดในบางพื้นที่มีอุณหภูมิสูงถึง 40 องศาเซลเซียส ทำให้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ทำความเย็นต้องทำงานมากขึ้นและใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น

     เห็นได้จากค่าพลังความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (Maximum Demand) ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ ล่าสุด มีค่าเท่ากับ 8,904.66 เมกะวัตต์ เกิดขึ้นในวันที่ 18 เมษายน 2566 ซึ่งค่าความต้องการพลังงานไฟฟ้าสูงสุด มักจะพบว่าอยู่ในช่วงฤดูร้อนทั้งสิ้น โดยเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานมากขึ้นในช่วงฤดูร้อน คือ เครื่องปรับอากาศหรือแอร์

     ยกตัวอย่างเช่น ในสภาวะอากาศปกติ เช่น อุณหภูมิภายนอกอยู่ที่ 30 องศาเซลเซียส หากเราปรับอุณหภูมิแอร์ในห้องที่ 26 องศาเซลเซียส แอร์จะต้องทำงานเพื่อลดอุณหภูมิให้ได้ 4 องศาเซลเซียส แต่ในช่วงที่มีอากาศร้อนจัด เช่น อุณหภูมิภายนอก 40 องศาเซลเซียส หากเราตั้งอุณหภูมิแอร์ในห้องเท่าเดิมไว้ที่ 26 องศาเซลเซียส แอร์จะต้องทำงานเพื่อลดอุณหภูมิให้ได้ถึง 14 องศาเซลเซียล แอร์จึงทำงานหนักมากขึ้น และกินไฟมากกว่าเดิม อีกทั้งยังต้องรักษาอุณหภูมิในสภาวะที่มีความร้อนจัดจากภายนอกรบกวน จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หน่วยการใช้ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น

     ทั้งนี้ จากการทดสอบพบว่า อุณหภูมิภายนอกที่เพิ่มขึ้นทุก 1 องศาเซลเซียสแอร์จะกินไฟเพิ่มขึ้นมากกว่า 3% ถึงแม้จะใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในระยะเวลาเท่ากัน หรือปรับตั้งค่าอุณหภูมิเท่าเดิมก็ตาม ประกอบกับในช่วงอากาศร้อนพฤติกรรมการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดอื่น ๆ เช่น การเปิดปิดตู้เย็นบ่อยครั้ง การประกอบอาหารด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้า ไปจนถึงการใช้น้ำอุปโภคบริโภคมากขึ้นทำให้ปั๊มน้ำทำงานมากขึ้น ทั้งหมดนี้ ล้วนทำให้การใช้ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

     นายจาตุรงค์ ยังได้แนะนำการประหยัดไฟฟ้าในช่วงฤดูร้อน คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ประหยัดค่าไฟฟ้าได้ดี โดยยึดหลัก “ปิด-ปรับ-ปลด-เปลี่ยน” โดยปิดไฟดวงที่ไม่ใช้ ปรับลดอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศมาอยู่ที่ระดับ 26-27 องศาเซลเซียส พร้อมเปิดพัดลมควบคู่ จะเป็นการช่วยให้ประหยัดพลังงาน

     นอกจากนี้ ให้ปลดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช้งาน เปลี่ยนไปใช้เครื่องปรับอากาศที่มีค่าประสิทธิภาพสูง และหมั่นล้างเครื่องปรับอากาศ อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน เปลี่ยนพฤติกรรมโดยไม่เปิด-ปิดตู้เย็นบ่อย ๆ ไม่ควรกักตุนอาหารไว้ในตู้เย็นเกินความจำเป็น ตรวจขอบยางประตูตู้เย็นให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน เปลี่ยนมาใช้หลอดไฟ LED เลือกใช้อุปกรณ์ประหยัดไฟฟ้า (เบอร์ 5) ควรปิดสวิตช์และดึงปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าออกทุกครั้งเมื่อไม่ได้ใช้งาน

ข่าวล่าสุด

ตำรวจไซเบอร์-ทหาร ถกเข้มชายแดนสระแก้ว เตรียมรับคนไทยจากกัมพูชากลับบ้าน!