TCRB ยื่นไฟลิ่ง เล็งขายหุ้น IPO ในปีนี้ หนุนขยายสินเชื่อช่วยคนตัวเล็ก
ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย (TCRB) ยื่นไฟลิ่งถึง ก.ล.ต. แล้วเล็งขายหุ้น IPO หวังระดมทุนมาขยายสินเชื่อ แต่ยังยึดธุรกิจปล่อยกู้คนตัวเล็กเหมือนเดิม แม้กระทรวงการคลังอนุมัติเป็นธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบเมื่อก.ย. ปีที่แล้ว
นายวิญญู ไชยวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย (TCRB) เปิดเผยว่า เพื่อรองรับการเติบโต ในวันนี้ (วันที่ 2 พฤษภาคม 2566) จึงได้ดำเนินการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ และร่างหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)
โดยจำนวนหุ้นที่คาดว่าจะเสนอขายทั้งหมด (รวมหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกและเสนอขายโดยธนาคารฯ และหุ้นสามัญที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิม) ไม่เกิน 347,029,122 หุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 28.2 ของจำนวนหุ้นจดทะเบียนและชำระแล้วทั้งหมดของธนาคาร ซึ่งภายหลังการทำ IPO รวมจำนวนหุ้นที่ผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินอาจใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญในกรณีที่มีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน
สำหรับวัตถุประสงค์ของการระดมทุนในครั้งนี้ โดยหลักจะนำไปใช้เป็นเงินทุนในการรองรับการขยายพอร์ตสินเชื่อ และปรับปรุงและพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการช่วยผลักดันให้ธนาคารฯ มีแหล่งเงินลงทุน เพื่อนำไปให้บริการผลิตภัณฑ์ทางการเงิน แก่ผู้ประกอบการรายย่อยซึ่งเป็นรากฐานของประเทศ
"ธนาคารเป็นธุรกิจที่ต้องดีลกับคนจำนวนมากอยู่แล้ว การนำธนาคารเข้าตลาดและเป็นมหาชนอย่างแท้จริง จึงสอดคล้องกับแนวทางที่ควรจะเป็น" นายวิญญูให้เหตุผลที่ตัดสินใจยื่นไฟลิ่งและเตรียมเข้า IPO ในครั้งนี้
อย่างไรก็ตามตั้งแต่เมื่อเดือนกันยายน 2565 ที่ผ่านมา ธนาคารได้รับอนุมัติจากทางกระทรวงการคลังให้เป็นธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบแล้ว จึงเชื่อว่าจะทำให้ธนาคารสามารถให้บริการกับลูกค้าเดิมของธนาคารได้มากขึ้น ต่างจากเดิมที่ติดปัญหาเรื่องกฎเกณฑ์
"ด้วยใบอนุญาตเดิม ถ้าลูกค้าโตกว่าการเป็น SME ทางธนาคารจะไม่สามารถให้บริการต่อได้แล้ว ต้องปล่อยลูกค้ากลุ่มนั้นไป แต่ด้วยการเป็นธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ ช่วยให้เราทำธุรกิจได้มากขึ้น"
โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา ธนาคาร มียอดเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ (ไม่รวมดอกเบี้ยค้างรับและรายได้ดอกเบี้ยที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ) อยู่ที่ 121,298.0 ล้านบาท โดยเงินให้สินเชื่อหลักมาจากสินเชื่อธุรกิจไมโครเอสเอ็มอี ทั้งนี้ เงินให้สินเชื่อของธนาคารฯ เติบโตอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่งที่อัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมร้อยละ 32.7 ต่อปี ในระหว่างปี 2563 ถึงปี 2565
"การเติบโตของสินเชื่อ 5 ปีที่ผ่านมา จากที่ลูกค้าไว้ใจต่อเนื่องทำให้โต 3 เท่าถึง 1.21 แสนล้านบาท ทำให้เราเป็นธนาคารที่เติบโตเร็วที่สุด"
นอกจากนี้ สำหรับปี 2565 ธนาคารมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,352.5 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมร้อยละ 30.9 ต่อปี ในระหว่างปี 2563 ถึงปี 2565 และยังมีอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) สำหรับปีเดียวกันอยู่ที่ร้อยละ 18.9
ทั้งนี้ TCRB ให้ความสำคัญกับการดูแลโครงสร้างต้นทุนการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ โดยต้นทุนการดำเนินงานส่วนใหญ่ของธนาคารฯ ถูกใช้เพื่อให้ได้มาซึ่งลูกค้ารายใหม่ และเพื่อปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้มีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวม (Cost-to-Income Ratio) ลดลงโดยตลอดจากร้อยละ 49.9 ในปี 2563 เป็นร้อยละ 39.5 ในปี 2565
ทั้งนี้ ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย ถือเป็นธนาคารพาณิชย์ที่เสนอขายหุ้น IPO ในรอบ 10 ปี จึงคาดหวังว่าการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ นอกจากจะช่วยเสริมให้ฐานเงินทุนของธนาคารแล้ว ยังส่งผลให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น เพื่อเสริมศักยภาพในการเติบโตของสินเชื่อแล้ว
นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มช่องทางการระดมทุนที่หลากหลาย ภายใต้สภาวะทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และมีส่วนช่วยเพิ่มสภาพคล่องและมูลค่าตลาดให้กับหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์รวมถึงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกด้วย
สำหรับ TCRB เป็นผู้ให้บริการสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการรายย่อยและลูกค้าบุคคล โดยมีกลุ่มผลิตภัณฑ์สินเชื่อหลัก ประกอบด้วย สินเชื่อนาโนและไมโครเครดิตเพื่อคนค้าขาย (Nano and Micro Finance) สินเชื่อธุรกิจไมโครเอสเอ็มอี (Micro SME) และสินเชื่อบ้าน ทั้ง สินเชื่อบ้านแลกเงิน และ สินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน
โดยมุ่งให้บริการสินเชื่อมแก่กลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย ที่เป็นรากฐานสำคัญของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของกิจการแผงลอย ร้านค้าขนาดเล็กและขนาดกลาง ตลอดจนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและไมโครเอสเอ็มอี ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรแบบยั่งยืนและมีส่วนช่วยเหลือเศรษฐกิจและสังคม
นอกจากนี้ ด้วยการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพและการบริหารจัดการความเสี่ยงที่รัดกุม ทำให้ธนาคาเชื่อว่าอยู่ในจุดที่สามารถขยายพอร์ตสินเชื่อในการสนับสนุนกลยุทธ์ทางธุรกิจและบรรลุการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืน
"ธนาคาร ยึด Sustainable growth model หรือ การเติบโตอย่างมั่นคง ซึ่งประกอบด้วย 3 แกนหลัก หนึ่ง ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง สอง ปรับรูปแบบการทำงานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพด้วยต้นทุนที่ต่ำ สาม บุคลากรและวัฒนธรรมองค์กรที่เชื่อว่าทุกคนคือคนสำคัญ"


