TTB ปักหมุด 3 กลยุทธ์สำคัญ ต่อยอดจุดแข็งรวมกิจการ
ทีเอ็มบีธนชาต กางแผนขับเคลื่อนธุรกิจปี 66 สู่ The Next REAL Change ปักหมุด 3 กลยุทธ์ ต่อยอดจุดแข็งรวมกิจการ เดินเกมรุกยกระดับดิจิทัลแบงก์กิ้ง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน มุ่งก้าวสู่การเป็น Top 3 Digital Banking Platform พร้อมตั้งเป้าสิ้นปีพอร์ตสินเชื่อรวมเติบโต 3%
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี (ttb) เปิดเผยว่า ในปี 2566 นี้ ธนาคารยังคงมุ่งมั่นถึงเจตนารมย์ที่จะเป็น The Bank of Financial Well-being หรือธนาคารที่มุ่งมั่นช่วยสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นให้กับคนไทยทั้งประเทศ โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทั่วโลกต้องประสบกับปัญหาความผันผวนทางเศรษฐกิจ ถึงแม้ว่าปัญหา COVID-19 เริ่มเบาบางลง แต่บาดแผลทางเศรษฐกิจที่ทิ้งไว้ยังคงอยู่ คนไทยเองต้องประสบปัญหาเงินเฟ้อและดอกเบี้ยขาขึ้นที่กระทบต่อกำลังซื้อ ทำให้ประชาชนที่มีปัญหาด้านสภาพคล่องหรือมีหนี้เดิมอยู่เกิดความยากลำบากทางด้านการเงินมากขึ้น
ซึ่งส่งผลให้หนี้ครัวเรือนแตะระดับสูงถึง 86.8% ของจีดีพี ในไตรมาส 3 ปี 2565 จากสถานการณ์ที่ต้องเผชิญทำให้พันธกิจของธนาคารเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการจะได้รับและคาดหวังให้ธนาคารสามารถทำให้เป็นจริงขึ้นได้ โดยตั้งแต่รวมกิจการ ทีเอ็มบีธนชาตได้มีการได้ช่วยให้คนไทยกว่า 2 ล้านคนได้มีความคุ้มครองชีวิตและค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุฟรี ผ่านบัญชี ttb all free และได้ช่วยลูกค้าที่มีหนี้ทำการรวบหนี้ เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง แม้เพิ่งเริ่มต้นแต่ได้มีลูกค้าร่วมโครงการราว 2,000 ราย ช่วยทำให้คนเหล่านี้ประหยัดเงินจากดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายรวมเป็นเงินกว่า 270 ล้านบาท
สำหรับในปี 2566 ยังคงมุ่งสานต่อพันธกิจ ด้วยการสร้าง The Next REAL Change เดินหน้าสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายในรูปแบบใหม่ภายใต้กลยุทธ์หลัก 3 เรื่อง ได้แก่ 1. Synergy Realization: ต่อยอดพัฒนาโซลูชั่นทางการเงินผ่านจุดแข็งและความแข็งแกร่งจากการรวมกิจการ ด้วยฐานลูกค้ากว่า 10 ล้านราย สะท้อนได้จากผลประกอบการปี 2565 ธนาคารมีกำไรสุทธิ 14,196 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% ได้รับผลประโยชน์ด้านค่าใช้จ่ายที่ลดลงจากการรับรู้ Cost Synergy ของการรวมกิจการ ทำให้อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ลดลงจาก 48% ในปี 2564 มาอยู่ที่ 45%
2. Digitalization: นำดิจิทัลมายกระดับประสบการณ์ทางการเงินและพัฒนาประสิทธิภาพของธนาคาร ผ่าน ttb touch เวอร์ชันใหม่ ซึ่งธนาคารมีเป้าหมายนำดิจิทัลมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งมอบประสบการณ์ทางการเงินที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้า และขับเคลื่อนองค์กรให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดต้นทุนของธนาคาร เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยมีเป้าหมายก้าวสู่การเป็น Top 3 Digital Banking Platform
3. Ecosystem Play: เดินหน้าสร้างการเติบโตด้วย New Business Model มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้ามนุษย์เงินเดือน กลุ่มคนมีรถ และกลุ่มคนมีบ้าน ซึ่งเป็น 3 กลุ่มหลักที่ธนาคารมีความเชี่ยวชาญ โดยธนาคารจะต้องเข้าไปอยู่ในชีวิตของลูกค้าตลอด Journey และช่วยให้ชีวิตของลูกค้าสามารถบริหารจัดการเรื่องสำคัญได้อย่างรอบด้าน โดยเน้นการทำงานจากทีมภายใน และร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำภายนอก โดยมี ttb touch เป็นตัวขับเคลื่อนให้ลูกค้าบริหารจัดการชีวิตได้อย่างครบวงจร
อย่างไรก็ตามในปี 2566 ธนาคารตั้งเป้ามีสินเชื่อรวมเติบโต 3% สำหรับผลประกอบการในปี 2565 ที่ผ่านมา ธนาคารมีกำไร 14,2000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.6% รายได้อยู่ที่ 65,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.5% มีค่าใชจ่ายในการทำงาน 30,000 ล้านบาท ลดลง 4.1% เงินตั้งสำรอง 18,400 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่องมีปัจจัยจาก พอร์ตสินเชื่อมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 0.4% เงินฝาก เพิ่มขึ้น 4.5% ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ย 2.95% รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยต่อสินทรัพย์ 0.79% อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ 45% ต้นทุนความเสี่ยง 1.3% และอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) 2.7%
นายปิติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในปีนี้จะเป็นความท้าทาย ของคนไทยและนักธุรกิจไทย ด้วยอัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อ ที่เพิ่มสูงขึ้น จะส่งผลให้เงินในกระเป๋าของคนไทยลดลง ซึ่งเป็นปัจจัยลบ ส่วนปัจจัยบวกมาจากการที่ภาคท่องเที่ยว รายได้ของคนไทยก็จะฟื้นตามไปด้วย ทั้งนี้มองว่าเศรษฐกิจโดยรวมน่าจะดีขึ้น ในส่วนของภาคธุรกิจส่งออกมองว่าเป็นความท้าทาย ซึ่งในปีที่ผ่านภาคการส่งออกมีอัตราการเติบโตในระดับที่ดีมาก เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านได้มีการเปิดประเทศก่อน ทำให้มีการส่งออกได้ออก แต่ในปัจจุบันจากทั่วโลกได้ลดจำนวนการนำเข้าเพราะฉะนั้นการส่งออกของไทยในปีนี้จึงมีความท้าทาย ส่วนเรื่องค่าเงินถึงแม้ความผันผวนจะลดลง สำหรับผู้นำเข้าและผู้ส่งออก ควรจะมีการปิดความเสี่ยง เนื่องจากความผันผวนยังคงมีอยู่
และจากกรณีที่มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่หลอกให้เหยื่อโอนเงิน หรือหลอกให้ติดตั้งแอปพลิเคชั่น ลงมือถือแล้วจัดการโอนเงินออกจากบัญชีจนหมด นั้น ธนาคารอยากให้ผู้บริโภคคอยสังเกตว่ามีแอปพลิเคชั่นที่แปลกๆเข้ามา โดยเฉพาะเครื่องที่เอาไปปลดล๊อคระบบรักษาความปลอดภัย เท่ากับจะทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะทำให้แอปพลิเคชั่นแปลกๆ หลุดรอดเข้ามาในมือถือได้ อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน ธนาคารได้มีการติดตามมาตรการป้องกันความเสี่ยง โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เตรียมที่จะเข้าหารือกับ สมาคมธนาคารไทย โดยมาตรการต่างๆ จะมีการหารืออย่างจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ
“แบงก์จะมีการเตรียมความพร้อมในการสร้างมาตรการป้องกัน โดยในเบื้องต้นจะเป็นการเข้าไปส่องมือถือของผู้บริโภค ว่ามีแอปพลิเคชั่นแปลกๆแอบแฝงอยู่หรือไม่ ซึ่งปัจจุบันแอปฯแปลกเกิดขึ้นใหม่ทุกวัน เพราะฉะนั้นจะตามไปสอดส่อง แต่เราไปปลดล๊อคระบบรักษาความปลอดภัย และไปลงแอปฯใหม่ๆ ตลอดเวลา ซึ่งในเรื่องการดูดเงินจากแอปฯ มีคนข้างน้อย หรือเป็นคนส่วนน้อยที่ไปเชื่อมิจฉาชีพ ดังนั้นสิ่งแรกที่ป้องกันคือ การ์ดอย่าตก อย่าไปเชื่อแอปฯ ที่ไม่คุ้นเคยง่าย” นายปิติ กล่าว
สำหรับเรื่องบัญชีม้า เราสามารถแจ้งความดำเนินคดีได้ ซึ่งถ้าไม่ใช่ความจริงคนแจ้งจะมีความผิด เพราะฉะนั้นจะเป็นการป้องกันความเสี่ยงในเบื้องต้นได้ หลังจากนั้นในส่วนของแบงก์จะดำเนินการในส่วนของการระงับเงินในบัญชี ในส่วนของเรื่อง หนี้ครัวเรือน ต่อจีดีพี เริ่มปรับตัวดีขึ้น ซึ่งผ่านมาคนไทยมีปัญหาเรื่องรายได้ เรื่องหนี้ ซึ่งไม่สัมพันธ์กันกับรายจ่าย สิ่งที่ตามมาคือ เกิดการขัดสน ต้องมีการกู้เงินมาจับจ่ายใช้สอยซึ่งจะเป็นการนำเงินในอนาคตมาใช้ ข้อเสียคืออัตราดอกเบี้ยจะแพง อย่างไรก็ตามเพื่อให้คนไทยมีชีวิตที่ดีขึ้น ผ่านผลิตภัณฑ์ทางการเงินของธนาคาร ที่จะทำให้คนที่เป็นหนี้ เป็นหนี้ที่ถูกลงอีกด้วย


