posttoday

FETCO เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนปรับตัวลดลง 2.1%

10 มกราคม 2566

สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนยังคงอยู่ในเกณฑ์ร้อนแรง นักลงทุนคาดหวังปัจจัยหนุนจากภาคท่องเที่ยวและผลประกอบการ บจ. พร้อมคาดดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน ในอีก 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 121.75 ปรับตัวลดลง 2.1%

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยถึงดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) โดยผลสำรวจในเดือนธันวาคม 2565 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน  ในอีก 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 121.75 ปรับตัวลดลง 2.1% จากเดือนก่อนหน้าโดยยังคงอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” นักลงทุนมองว่าการฟื้นต้วของภาคท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด 

 

รองลงมาคือผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ การประกาศจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ และสถานการณ์เงินเฟ้อ


 
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) สำรวจในเดือนธันวาคม 2565 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้

 

▪️ ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (มีนาคม 2566) ยังคงอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” (ช่วงค่าดัชนี 120-159) ปรับตัวลง 2.1% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 121.75

 

▪️ ดัชนีความเชื่อมั่นรายกลุ่มนักลงทุนสำรวจเดือนธันวาคม 2565 พบว่าความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคลและกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ อยู่ในระดับ “ร้อนแรง” ในขณะที่กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์และกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศอยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว”

 

▪️ หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดพาณิชย์ (COMM)

 

▪️ หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์โลหะ (STEEL)

 

▪️ ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การฟื้นต้วของภาคท่องเที่ยว

 

▪️ ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ

 

ส่วนผลสำรวจ ณ เดือนธันวาคม 2565 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่า ความเชื่อมั่นนักลงทุนบุคคลปรับเพิ่มขึ้น 17.6% อยู่ที่ระดับ 128.38 ในขณะที่ความเชื่อมั่นนักลงทุนกลุ่มอื่น ๆ ปรับลดลง โดยกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับลดลง 40.0% อยู่ที่ระดับ 85.71 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับลดลง 18.4% อยู่ที่ระดับ 105.56 และกลุ่มนักลงทุนต่างชาติปรับลดลง 10.7% อยู่ที่ระดับ 125.00


 
ในช่วงเดือนธันวาคม 2565 SET Index เคลื่อนไหวอยู่เหนือ 1,600 จุดตลอดทั้งเดือนโดยมีปัจจัยหนุนจากภาคการท่องเที่ยวในประเทศ การกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามปกติในช่วงเดือนสุดท้ายของปี 2565 รวมถึงการเตรียมพร้อมรับการเปิดประเทศของจีนซึ่งจะช่วยกระตุ้นทั้งภาคการท่องเที่ยวและการส่งออก และแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) 

 

อย่างไรก็ตาม ตลาดทุนยังได้รับผลกระทบจากความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในรัสเซีย - ยูเครนที่ยืดเยื้อ และการประกาศจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดย SET Index ณ สิ้นเดือนธันวาคมปิดที่ 1,668.66 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.0% จากเดือนก่อนหน้า ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิในเดือนธันวาคม 2565 กว่า 12,826 ล้านบาท โดยตลอดทั้งปี 2565 นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิเป็นมูลค่า 196,886 ล้านบาท


 
ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามได้แก่ แนวโน้มการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ในปี 2566 ซึ่งจะทำให้ธนาคารกลางแต่ละประเทศยังต้องคงมาตรการทางการเงินที่เข้มงวด การส่งสัญญาณเปิดประเทศของจีนซึ่งจะช่วยหนุนเศรษฐกิจจีนและการท่องเที่ยวในเอเชีย อีกทั้งความเสี่ยงจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ และวิกฤตราคาพลังงานโดยเฉพาะในยุโรป 

 

ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ การประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน การส่งออกของไทยที่มีแนวโน้มหดตัวตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยุโรป นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ การเลือกตั้งในประเทศซึ่งอาจทำให้การลงทุุนภาครัฐชะลอตัวลงในช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล และจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดการณ์ว่าจะเดินทางมาไทยเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งอาจต้องเฝ้าระวังในเรื่องการระบาดของการแพร่ระบาดของไวรัส-19 ต่อไป

 

นายกอบศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมถึงสถานการณ์การเมืองไทย ว่า  ทุกครั้งตลาดหุ้นไม่เลือกข้าง ชอบความชัดเจนของการเลือกตั้ง โดยในไตรมาสที่สองเป็นฤดูของการเลือกตั้ง ทำให้เงินสะพัด ทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ประกอบกับการที่นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว มองว่าเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ ทั้งนี้สิ่งที่ต้องติดตามคือเราจะมีรัฐบาลเดือนไหน หากมาช้า อาจทำให้ระบบเศรษฐกิจเกิดความชะลอตัว ถ้าจัดตั้งได้เร็ว ตลาดก็จะเดินหน้าต่อไป ถ้าทุกอย่างดูว่าไปได้ ทุกอย่างก็จะชัดเจน ซึ่งการเลือกตั้งประมาณกลางปี ผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นอย่างไรคงต้องติดตามต่อไป 

 

ในส่วนของภาคการท่องเที่ยวคาดว่าครึ่งปีแรกยังคงผันผวน จากเศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวนอยู่ ขณะเดียวกันยังได้กระทบส่งออกของไทย ซึ่งจากข้อมูลของ กนง. ระบุว่า ส่งออกยังไม่เติบโต นำเข้าไม่เติบโต นักท่องเที่ยวต่างชาติ 22 ล้านคน แต่หลังจากจีนเปิดประเทศ คาดว่านักท่องเที่ยวจะเพิ่มมากขึ้นกว่าที่คาดไว้ แต่เมื่อหักลบกับการส่งออกที่จะชะลอตัวลง ดังนั้นจึงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ที่ประมาณ 3% ซึ่งถือเป็นการเปิดปีในทิศทางที่ดี 

 

ทางด้านการลงทุน มองว่ายังมีความผันผวน ทั้งจากข่าวดีและข่าวร้ายแต่เมื่อผ่านช่วงกลางปีไปแล้ว ครึ่งปีหลังตลาดการลงทุนจะปรับตัวได้ดีขึ้น ซึ่งตลาดทุนไทยยังได้รับอานิสงส์จากกระแสเงินทุนต่างประเทศ น่าจะยังไหลเข้าต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นปีมีเข้ามาแล้วกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท เพราะต่างชาติเห็นว่าเศรษฐกิจไทย ยังสามารถเติบโตได้โดดเด่นกว่า ท่ามกลางความถดถอยของโลกทำให้ตลาดทุนไทยก็ยังอยู่ในเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติ 

 

นายกอบศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมถึงสถานการณ์การเมืองไทย ว่า  ทุกครั้งตลาดหุ้นไม่เลือกข้าง ชอบความชัดเจนของการเลือกตั้ง โดยในไตรมาสที่สองเป็นฤดูของการเลือกตั้ง ทำให้เงินสะพัด ทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ประกอบกับการที่นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว มองว่าเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ ทั้งนี้สิ่งที่ต้องติดตามคือเราจะมีรัฐบาลเดือนไหน หากมาช้า อาจทำให้ระบบเศรษฐกิจเกิดความชะลอตัว ถ้าจัดตั้งได้เร็ว ตลาดก็จะเดินหน้าต่อไป ถ้าทุกอย่างดูว่าไปได้ ทุกอย่างก็จะชัดเจน ซึ่งการเลือกตั้งประมาณกลางปี ผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นอย่างไรคงต้องติดตามต่อไป 

 

ในส่วนของภาคการท่องเที่ยวคาดว่าครึ่งปีแรกยังคงผันผวน จากเศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวนอยู่ ขณะเดียวกันยังได้กระทบส่งออกของไทย ซึ่งจากข้อมูลของ กนง. ระบุว่า ส่งออกยังไม่เติบโต นำเข้าไม่เติบโต นักท่องเที่ยวต่างชาติ 22 ล้านคน แต่หลังจากจีนเปิดประเทศ คาดว่านักท่องเที่ยวจะเพิ่มมากขึ้นกว่าที่คาดไว้ แต่เมื่อหักลบกับการส่งออกที่จะชะลอตัวลง ดังนั้นจึงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ที่ประมาณ 3% ซึ่งถือเป็นการเปิดปีในทิศทางที่ดี 

 

ทางด้านการลงทุน มองว่ายังมีความผันผวน ทั้งจากข่าวดีและข่าวร้ายแต่เมื่อผ่านช่วงกลางปีไปแล้ว ครึ่งปีหลังตลาดการลงทุนจะปรับตัวได้ดีขึ้น ซึ่งตลาดทุนไทยยังได้รับอานิสงส์จากกระแสเงินทุนต่างประเทศ น่าจะยังไหลเข้าต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นปีมีเข้ามาแล้วกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท เพราะต่างชาติเห็นว่าเศรษฐกิจไทย ยังสามารถเติบโตได้โดดเด่นกว่า ท่ามกลางความถดถอยของโลกทำให้ตลาดทุนไทยก็ยังอยู่ในเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติ 

 

สะท้อนจากปัจจุบันระดับดัชนีระดับหุ้นไทยปรับขึ้นมาใกล้เคียงกับคาดการณ์ของสมาคมนักวิเคราะห์ (IAA) อยู่ที่ระดับ 1.94 ในไตรมาสหนึ่งปีนี้ จากการที่จีนเปิดประเทศเร็วกว่าที่คาดไว้ และให้เป้าหมายดัชนีฯ สิ้นปีนี้ ไว้ที่ 1740 จุด ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้นของบริษัทจดทะเบียน ที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ทั้งนี้แนะนักลงทุนควรจะติดตามตลาดการลงทุนอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสของการลงทุนในปีนี้ เมื่อผ่านพ้นครึ่งปีแรกเป็นจังหวะที่ดีของการลงทุนแบบทยอยเข้าสะสมในสินทรัพย์ที่น่าลง ซึ่งจะมีผลตอบแทนที่ดีในระยะ 1 – 2 ปีข้างหน้า รวมถึงยังเก็บเงินสดไว้บางส่วนเพื่อเข้าลงทุนเมื่อตลาดปรับตัวลง