posttoday

เคทีซีตั้งเป้ากำไรนิวไฮปีหน้า หวังแตะ 1 หมื่นล้านภายในปี 2570

29 ธันวาคม 2565

เคทีซีวางฐานองค์กรสร้างคนรุ่นใหม่เป็นกำลังสำคัญ ถึงเป้าหมายทำกำไรแตะ 1 หมื่นล้านบาท ปี 2570 ขับเคลื่อนผ่าน 3 ธุรกิจเรือธง บัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล และรถแลกเงิน กำไรนิวไฮก่อนในปีหน้าและต่อเนื่องถึงปี 2567 ภายใต้การนำของซีอีโอป้ายแดง

นายระเฑียร ศรีมงคล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บัตรกรุงไทย เปิดเผยถึงทิศทางและเป้าหมายธุรกิจในปี 2566 ว่า ด้วยแนวทางที่เคทีซีเตรียมปรับใหญ่ในปีหน้านั้น จะปูทางสู่รากฐานองค์กรที่แข็งแกร่ง เพื่อรับการเปลี่ยนแปลงและตอบโจทย์ความคาดหวังของลูกค้า จึงตั้งเป้าทำกำไรนิวไฮต่อเนื่องและมีสินเชื่อรวมเติบโต 15% หรือเกิน 1 แสนล้านบาท จาก 3 ธุรกิจเรือธง คือ บัตรเครดิต สินเชื่อบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” และ สินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” แต่ยังคงต้องรักษาระดับตัวเลขสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือ NPL ให้ต่ำกว่า 1.7% ในปีนี้ 

 

โดยการดำเนินธุรกิจของเคทีซีจากนี้จะแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มธุรกิจหลัก (Existing) ได้แก่ ธุรกิจบัตรเครดิตและธุรกิจสินเชื่อไม่มีหลักประกันที่มีพอร์ตสินเชื่อในระดับหมื่นล้านบาทขึ้นไป กลุ่มธุรกิจใหม่ที่คาดว่าจะสร้างรายได้แบบก้าวกระโดด (New SCurve) ได้แก่ สินเชื่อรถแลกเงิน เคทีซี พี่เบิ้ม และสินเชื่อกรุงไทยธุรกิจ ลีสซิ่ง และกลุ่มโมเดลธุรกิจที่อยู่ในระหว่างการบ่มเพาะ (Incubator) เช่น MAAI - Loyalty Platform เป็นต้น

 

ด้านบัตรเครดิตซึ่งยังเป็นธุรกิจหลักที่เคทีซีให้ความสำคัญมาตลอดนั้น พบว่าปัจจุบันทุกหมวดต่างมียอดใช้จ่ายเติบโตสูงกว่าปี 2562 ซึ่งเป็นปีก่อนที่จะมีการแพร่ระบาดรุนแรงของโควิด-19 สำหรับกลยุทธ์การตลาดในปี 2566 จะเน้นแนวคิด Less is MORE หรือการทำสิ่งที่สำคัญเพื่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด โดยปรับกระบวนการทำงานในทีมการตลาดให้กระชับคล่องตัวมากขึ้น บน 5 แกนสำคัญ

 

เริ่มจากแกนแรกคือการบริหารพอร์ตลูกค้าให้มีคุณภาพมากที่สุด ด้วยการสร้างสรรค์โปรแกรมการตลาดเพื่อให้ลูกค้าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง และการนำระบบออโตเมชั่น (Automation) เข้ามาใช้ในกระบวนการของการบริหารความสัมพันธ์กับสมาชิกบัตร

 

ส่วนแกนต่อมาคือเน้นขยายฐานลูกค้ากลุ่มรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 50,000-200,000 บาทขึ้นไป ด้วยสิทธิพิเศษด้านไลฟ์สไตล์ที่ตรงใจ แกนที่ 3 คือจัดโปรแกรมกระตุ้นการใช้จ่ายที่ตอบโจทย์ฐานสมาชิกบัตรเคทีซี ซึ่งเน้น 3 หมวดใช้จ่ายหลัก คือ หมวดร้านอาหารและร้านอาหารในโรงแรม (Dining & Hotel Dining) หมวดช้อปปิ้งออนไลน์และหมวดท่องเที่ยว ที่ยังคงเดินหน้าความร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจอื่น ๆ ที่มีเป้าหมายทางธุรกิจเดียวกัน ในการทำกิจกรรมการตลาดที่ตอบโจทย์ทุกหมวดใช้จ่ายสำคัญของสมาชิก และเพื่อสร้างการจดจำและผูกพันกับแบรนด์  
 

ส่วนแกนที่ 4 เน้นร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่นในการจัดแคมเปญการตลาดและกิจกรรมการขยายฐานสมาชิกบัตรในต่างจังหวัด และท้ายสุดคือบริหารจัดการการสื่อสารการตลาด (Marketing Communications) ให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด ซึ่งเน้นการทำคอนเทนท์ มาร์เก็ตติ้ง (Content Marketing) ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์เคทีซีให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น

 

โดยในปี 2566 ตั้งเป้ามีสมาชิกสมัครบัตรใหม่ 180,000 ใบ และคาดว่าจะมียอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเติบโต 10% จากปี 2565 หรือประมาณ 264,000 ล้านบาท

 

จากตัวเลขยอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่ปีนี้โต 22% เราพบว่าพวกที่รายได้เกิน 50,000 มียอดการใช้จ่ายดี ซึ่งถ้าเราหาได้เพิ่ม ก็จะทำให้เรามียอดการใช้จ่ายผ่านบัตรดีได้ตามเป้าหมาย" จากการเปิดเผยของนางประณยา นิถานานนท์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร – การตลาดบัตรเครดิต เคทีซี

 

สำหรับธุรกิจสินเชื่อหลังจากการเปิดประเทศสู่ภาวะปกติ พบว่าผู้บริโภคมีความต้องการสินเชื่อสูงขึ้นต่อเนื่อง เพื่อนำไปใช้ลงทุนและใช้จ่าย อีกทั้งยังมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอีกมากที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบ จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับ ทั้ง “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” และ “เคทีซี พราว” 

อย่างไรก็ดี นายระเฑียรมองว่ายังต้องสังเกตสถานการณ์ปล่อยสินเชื่ออย่างใกล้ชิด เนื่องจากตลาดมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วและแข่งขันรุนแรงจากผู้ประกอบการธนาคารและนอนแบงค์

 

ในส่วนของธุรกิจสินเชื่อบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” (KTC PROUD) นั้น ตั้งเป้าจะทำพอร์ตลูกหนี้สินเชื่อบุคคลให้เติบโต 7% และมีสมาชิกเคทีซี พราวใหม่อีก 110,000  รายภายในปีหน้า ซึ่งจะยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการใช้สินเชื่อได้ครบทุกฟังก์ชัน ทั้งการเบิกใช้วงเงิน รูด โอน กด ผ่อน จากการเปิดเผยของ นางสาวพิชามน จิตรเป็นธรรม ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร – ธุรกิจสินเชื่อบุคคล “เคทีซี”

 

สำหรับกลยุทธ์ในปี 2566 จะให้น้ำหนักกับการพัฒนาช่องทางออนไลน์มากขึ้น ซึ่งต้องการให้สอดคล้องกับพฤติกรรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เริ่มที่การเปิดช่องทางให้ลูกค้าสามารถขอสินเชื่อออนไลน์ได้ด้วยตนเองผ่านโมบายแอปฯ ในรูปแบบของใบสมัครออนไลน์ (Electronic Application) และช่องทางการเบิกถอนเงินสดออนไลน์ผ่านทางแอปฯ KTC Mobile ให้สะดวกขึ้น

 

โดยเพิ่มบริการบัญชีพร้อมเพย์ในการโอนเงิน นอกเหนือจากที่โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารได้ 15 แห่ง และเพิ่มช่องทางเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ต้องการใช้สินเชื่อด้วยต้นทุนรับสมัครที่ต่ำแต่ได้ผลดี รวมทั้งเดินหน้าสร้างความผูกพันระหว่างเคทีซีกับกลุ่มสมาชิก ด้วยการต่อยอดกิจกรรมสัมมนาอาชีพเสริมเพิ่มรายได้

 

รวมถึงส่งเสริมวินัยในการชำระ ผ่านโครงการเคลียร์หนี้เกลี้ยง ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า เพราะเป็นความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า จากการศึกษาลูกค้าผ่านการทำ Empathy ทางเคทีซีจึงจัดอย่างต่อเนื่องและจะครบ 14 ครั้ง ในปี 2566

 

ขณะที่กลยุทธ์ของ “เคทีซี พี่เบิ้ม” ในปี 2566 จะเน้นขยายพอร์ตสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดแข็งของผลิตภัณฑ์ ทั้งการให้วงเงินใหญ่สูงสุด 1 ล้านบาท อนุมัติใน 1 ชั่วโมง รับเงินทันที และเปิดโอกาสให้ลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ที่มีข้อจำกัดด้านเอกสารและรายได้ สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น โดยธนาคารกรุงไทยกว่า 900 สาขาทั่วประเทศ จะเป็นช่องทางหลักในการรับสมัคร

 

ทั้งนี้เคทีซีได้ปรับรูปแบบบริการให้เจ้าหน้าที่ธนาคารฯ สามารถทำรายการผ่านแท็บเล็ตในการรับสมัครสินเชื่อให้กับลูกค้าและอนุมัติแบบครบวงจรภายใน 1 ชั่วโมง พร้อมรับเงินทันที รวมทั้งจะเน้นการสื่อสารเพื่อสร้างการรับรู้ผลิตภัณฑ์สินเชื่อ "เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” ผ่านช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ไปยังแพลทฟอร์มหลักต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่อยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัด จากการเปิดเผยของ นางสาวเรือนแก้ว เกษมสวัสดิ์ศรี ผู้อำนวยการ-ธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถ “เคทีซี พี่เบิ้ม” 

 

เรื่องกระบวนการอนุมัติเป็นสิ่งที่ทางเคทีซีให้เความสำคัญมาตลอด ที่จะสามารถไปอนุมัติให้ลูกค้าได้ถึงที่เลย ซึ่งแม้ตอนนี้อนุมัติได้ในเวลาไม่ถึง 1 ชม. แต่ปีหน้าจะเร็วและสะดวกขึ้น ไม่เกิน 45 นาที 

 

สำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเคทีซี พี่เบิ้ม ตามที่เราวางบทบาทเป็นสินเชื่อทางเลือกคนไม่ท้อ จึงเปิดรับทุกกลุ่มอาชีพ โดยเฉพาะคนทำมาหากินที่สู้ชีวิต และผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อก้อนใหญ่จากสถาบันการเงินอื่น โดยคาดว่าสิ้นปี 2566 จะมียอดอนุมัติสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” เพิ่ม 9,100 ล้านบาท

 

นอกจากนี้ เคทีซีจะมุ่งบริหารต้นทุนทางการเงินให้มีประสิทธิภาพ ภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้และเหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจ โดยจะมีการระดมเงินกู้ยืมระยะยาวประมาณ 15,000 ล้านบาท เพื่อรองรับหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในปี 2566 จำนวน 4,640 ล้านบาท รวมทั้งสนับสนุนการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อเคทีซี ทั้งนี้ คาดว่าเมื่อสิ้นปี 2566 เคทีซีจะมีสัดส่วนเงินกู้ยืมระยะสั้นต่อเงินกู้ยืมระยะยาว (Original Term) 20:80 และต้นทุนการเงินอาจเพิ่มขึ้นตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจากปี 2565 อยู่ที่ 2.5%-3.0%

 

นายระเฑียรยังเปิดเผยถึงแนวางการปรับองค์กรครั้งใหญ่ในปี 2566 เพิ่มเติมอีกว่าจะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเคทีซี ทั้งโครงสร้างองค์กร กลยุทธ์ กระบวนการ เทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อขับเคลื่อนเคทีซีไปสู่รากฐานองค์กรที่แข็งแกร่ง ภายใต้แนวคิด “A Transition to the New Foundation”

 

โดยเฉพาะการพัฒนา Mindset ของคนในองค์กรให้มีดีเอ็นเอเดียวกัน ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ที่เบริษัทพยายามดูแลและพัฒนามาตลอดตั้งแต่เข้ามาร่วมงานกับเคทีซี โดยนอกจาก 3 ค่านิยมองค์กรหลัก (Core Value) ที่คนเคทีซียึดถือเป็นแนวทางในการทำงาน ได้แก่ 1. กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง 2. ทำให้ง่าย ไม่ซับซ้อน และ 3.ทำสิ่งที่มีความหมายและเป็นประโยชน์

 

จากนี้เราจะมุ่งสร้างวัฒนธรรมองค์กรแห่งความไว้วางใจ (Trusted Organization) ภายในองค์กรให้แกร่งยิ่งขึ้น เพื่อส่งต่อความไว้วางใจนี้ไปสู่สมาชิก องค์กร ผู้ถือหุ้นและสังคม”  

 

นอกจากนี้ในปี 2566 เคทีซีจะเริ่มปรับเปลี่ยนเพื่อเตรียมองค์กรให้เป็นโครงสร้างแบบแนวราบ (Flat Organization) และมีหน่วยงานใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น อีกทั้งจะบูรณาการไอที (Information Technology) เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อน        กลยุทธ์องค์กรสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมทั้ง 3 มิติ คือ Enterprise Architecture การจัดการโครงสร้างให้สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

 

ทั้งด้านธุรกิจ ด้านไอทีและระบบปฏิบัติการ Enterprise Skill Assets ส่งเสริมให้คนเคทีซีได้พัฒนาทักษะสำคัญด้านต่างๆ ที่สร้างความก้าวหน้าในหน้าที่การงานและเป็นประโยชน์กับองค์กร และ Enterprise Data Assets การบริหารจัดการข้อมูลที่ครอบคลุมทั้งกระบวนการ ตั้งแต่การวางแผน การจัดเก็บ การเข้าถึงข้อมูลไปจนถึงการทำลายข้อมูล เน้นความปลอดภัย ถูกต้องและโปร่งใส เพื่อให้เคทีซีมีฐานข้อมูลคุณภาพ สนับสนุนการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ

 

การพัฒนาคนและบูรณาการข้อมูลต้องเร่งทำ แต่เรื่องงบประมาณสำหรับพัฒนาต้องดูตามความจำเป็น ซึ่งที่ผ่านมาเราใช้เงินต่ำกว่างบที่วางไว้ตลอด