posttoday

เหตุแห่งหนี้ของกลุ่มคน Gen Y และแนวทางปลดล็อคปัญหาจากมุมมองของแบงก์ชาติ

29 ธันวาคม 2565

หนี้ครัวเรือนของไทยในไตรมาส 2 ปี 65 มีสัดส่วนต่อ GDP สูงถึง 88.2% โดยมีลูกหนี้ 60% ที่อายุไม่ถึง 30 ปี ซึ่ง 1 ใน 4 ยังเป็นหนี้เสียอีก ไม่เท่านั้นคนไทยยังแบกหนี้สูงขึ้นเป็นเฉลี่ยที่ 120,000 บาท/ราย และเป็นหนี้นานขึ้น เพราะเกษียณแล้วก็ยังคงเป็นหนี้อยู่ 90,000 - 200,000 บาท/ราย

นรศิ พุกกะมาน ผู้อำนวยการ สำนักส่งเสริมความรู้ทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) กล่าวถึงสถานการณ์ตัวเลขสินเชื่อภาคครัวเรือนไทยในปัจจุบันว่า เป็นปัญหาที่สะสมมาอย่างยาวนานและยิ่งถูกตอกย้ำให้รุนแรงมากขึ้น จากสถานการณ์ COVID-19 ที่ผ่านมา

 

ทั้งนี้ในไตรมาส 2 ปี 65 สัดส่วนหนี้ครัวเรือนไทยต่อ GDP เพิ่มสูงถึง 88.2% ซึ่งสัดส่วนนี้เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดถึง 10% จากช่วงปลายปี 62 ที่สถานการณ์ COVID-19 เริ่มมีความรุนแรง 

 

เหตุแห่งหนี้ของกลุ่มคน Gen Y และแนวทางปลดล็อคปัญหาจากมุมมองของแบงก์ชาติ

 

ทว่าสิ่งที่น่ากังวลจากสถานการณ์ดังกล่าว ไม่ใช่เพียงตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นเท่านั้น แต่ “กว่า 1 ใน 3 ของหนี้ เป็นหนี้ที่เกิดจากการจับจ่ายใช้สอย” ซึ่งอาจไม่ใช่หนี้ที่สร้างรายได้หรือความมั่นคงให้กับชีวิต เช่น หนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน อีกทั้ง “สัดส่วนหนี้ดังกล่าวยังไม่รวมหนี้นอกระบบ” ที่ไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูลของทางการ

 

นอกจากนี้ จากข้อมูลของผู้กู้ยังพบความเปราะบางว่า “คนไทยเป็นหนี้เร็วขึ้น เป็นหนี้สูงขึ้น และเป็นหนี้นานขึ้น” สำหรับคำว่า 'เป็นหนี้เร็วขึ้น' คือ 60% ของคนอายุน้อย (อายุไม่เกิน 30 ปี) เป็นหนี้และ 1 ใน 4 ของผู้กู้ที่อายุน้อยเหล่านี้เป็นหนี้เสีย

 

'เป็นหนี้สูงขึ้น' จากที่ค่ากลางของยอดหนี้ต่อรายปรับเพิ่มสูงขึ้นจาก 70,000 บาท/ราย (ในปี 62) เป็น 120,000 บาท/ราย (ในปี 65) และ 'เป็นหนี้นานขึ้น' จากกลุ่มคนที่เกษียณอายุแล้วก็ยังคงเป็นหนี้อยู่ในระดับสูง กล่าวคือ คนอายุ 60 - 69 ปี มีค่ากลางของยอดหนี้ 120,000 บาท/ราย และคนอายุ 70 - 79 ปี มีค่ากลางของยอดหนี้ 90,000 บาท/ราย  


เหตุแห่งหนี้ของกลุ่มคน Gen Y และแนวทางปลดล็อคปัญหาจากมุมมองของแบงก์ชาติ

 

หากถามว่าแล้วอะไรคือต้นเหตุที่ทำใหกลุ่มคน Gen Y สร้างภาระหนี้สูงจนไม่มีกำลังจะชำระหนี้ได้ดังที่เกิดในปัจจุบันนั้น นรศิให้มุมมองว่า จริง ๆ แล้ว คนรุ่นใหม่หรือ Gen Y สมัยนี้ มีความรู้ทางการเงิน ที่ดีขึ้นและสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินต่าง ๆ สะดวกมากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งก็ยังสามารถบริหารจัดการการเงินของตัวเองได้ดี 

 

"แต่เราก็ต้องยอมรับว่ายังมีคนไทยกลุ่ม Gen Y จำนวนไม่น้อยที่เริ่มมีภาระหนี้สูงและ มีปัญหาในการชำระหนี้ ที่ต้องเร่งแก้ไข" 

 

สำหรับสาเหตุของปมปัญหาดังกล่าวนั้น นรศิได้แบ่งออกเป็น 3 ปัจจัย ดังนี้ ปัจจัยแรก คือ การใช้ชีวิตตามกระแสสังคม โดยเฉพาะในปัจจุบัน social media ซึ่งมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่มาก ๆ เราคงเคยได้ยินกระแส “ของมันต้องมี” ไม่ว่าจะกิน ช้อป เที่ยว ต้องถ่ายรูปลง social media ซึ่งเป็นผลให้เกิดกระแสบริโภคนิยม และกระตุ้นให้เกิดการอยากมีอยากได้และใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินตัว 

 

ส่วนปัจจัยที่สอง คือ กลุ่ม Gen Y เป็นกลุ่มที่เข้าถึงบริการทางการเงินและคุ้นชินกับการใช้งานผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในโลกยุคดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็น Application ต่าง ๆ ที่ให้บริการบน platform online เช่น สินเชื่อดิจิทัล แอปเงินกู้ Buy now Pay later เป็นต้น ซึ่งบริการเหล่านี้ล้วนตอบโจทย์วิถีชีวิตของคน Gen Y และเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายเกินตัวและเป็นหนี้มากขึ้น

 

สำหรับปัจจัยที่สาม ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดก็ว่าได้ และเกิดขึ้นกับคนทุกช่วงวัย (ไม่ใช่เฉพาะแต่ Gen Y เท่านั้น) นั่นก็คือ ขาดการตระหนักถึงความสำคัญของการวางแผนการเงิน นั่นคือ แม้มีความรู้ทางการเงินแต่อาจจะยังไม่ได้นำไปปฏิบัติจริง 

 

โดยเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นได้จากคะแนนทักษะทางการเงินของคนไทยที่สำรวจในปี 2563 ที่แม้ว่าคะแนนโดยรวมจะดีขึ้นในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านพฤติกรรม ความรู้ และทัศนคติ ซึ่งสูงถึง 71% และสูงกว่ากลุ่มประเทศ OECD (The Organization for Economic Co-operation and Development) ที่อยู่ที่ระดับ 60.5%

 

เหตุแห่งหนี้ของกลุ่มคน Gen Y และแนวทางปลดล็อคปัญหาจากมุมมองของแบงก์ชาติ

 

แต่เมื่อดูข้อมูลเชิงลึกในทางปฏิบัติกลับพบว่าคนไทยยังออมเงินค่อนข้างน้อย โดยมีเพียง 38% เท่านั้นที่มีเงินออมฉุกเฉินเพียงพอ (อย่างน้อย 3 – 6 เท่าของรายจ่ายและภาระหนี้ต่อเดือน) ซึ่งการไม่มีเงินออมฉุกเฉินนี้เองเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เป็นหนี้ได้ง่ายขึ้น 

 

"เพราะหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันในชีวิตที่จำเป็นต้องใช้เงินเร่งด่วนสุดท้ายก็อาจจบลงด้วยการกู้ยืมเงิน และในหลายกรณีมักต้องกู้จากแหล่งที่มีดอกเบี้ยสูง เช่น หนี้นอกระบบ ส่งผลให้เกิดเป็นวงจรหนี้อย่างไม่มีวันสิ้นสุด" นรศิกล่าว

 

 

สำหรับใครก็ตามและไม่ว่าจะอยู่ในชวงวัยใด ที่ตอนนี้ต้องแบกรับภาระหนี้และยังหาหนทางปลดล็อคจากปัญหาไม่เจอนั้น นรศิได้ให้คำแนะนำว่า สามารถแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ที่ก็เริ่มจากให้ไป download แบบฟอร์มได้ที่เว็บไซต์ www.1213.or.th ก่อน

 

แล้วค่อยมาเริ่มกันที่    ขั้นตอนแรก คือ การสำรวจภาระหนี้ จะเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้เราเห็นภาพรวมของหนี้ที่มีอยู่ว่ามีหนี้อะไรบ้าง เจ้าหนี้เราเป็นใคร จ่ายหนี้ต่อเดือนเท่าไร และรู้ว่าผ่อนหนี้ไหวหรือไม่ ซึ่งภาระหนี้นี้จะเป็นหนึ่งในรายจ่ายที่จำเป็นในการจัดทำแผนใช้เงินด้านรายจ่าย

 

ต่อมาคือ ขั้นตอนที่สองต้องจัดทำแผนใช้เงินให้รายรับมากกว่ารายจ่าย พูดง่าย  ๆ คือ ทำให้เงินพอใช้นั่นเอง ถ้าเราทำแผนใช้เงินแล้ว แต่เงินยังติดลบอยู่ก็ต้องหาวิธีที่จะทำให้แผนใช้เงินกลับมาเป็นบวกให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ หรือแม้กระทั่งขายทรัพย์สินแล้วนำเงินมาโปะหนี้ แต่ถ้าหากเราพยายามทำทุกวิธีแล้วเงินก็ยังติดลบอยู่ก็ลองมาดู

 

ส่วนขั้นตอนสุดท้าย คือ มองหาตัวช่วยในการแก้ไขปัญหาหนี้ เช่น ขอปรับโครงสร้างหนี้กับเจ้าหนี้ ซึ่งในขั้นตอนนี้นรศิยังแนะนำให้ลูกหนี้เข้าไปคุยกับเจ้าหนี้เพื่อหาทางออกร่วมกัน โดยไม่ปล่อยให้รอจนกลายเป็นหนี้เสีย

 

สำหรับใครก็ตาม ที่ตอนนี้ยังตกอยู่ในสถานะเป็นหนี้เสีย ซึ่งเป็นหนี้ที่เกิดจากบัตรหรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันก็สามารถเข้าร่วมโครงการกับคลินิกแก้หนี้ได้โดยเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ www.debtclinicbysam.com 

 

หรือหากบางคนที่ยังไม่รู้ว่าจะหาทางออกเรื่องหนี้อย่างไร ก็สามารถปรึกษาได้ที่โครงการหมอหนี้เพื่อประชาชนดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.bot.or.th หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมโทรมาปรึกษาเราได้ที่เบอร์ hotline 1213 

 

สำหรับแนวทางที่แบงก์ชาตินำมาใช้ เพื่อรับมือกับสถานการณ์หนี้ที่เกิดขึ้น รวมทั้งการป้องกันไม่ให้นำไปสู่ปัญหาใหญ่และลุกลามยิ่งกว่านี้นั้น นรศิเปิดเผยว่า นอกจากการติดตามสถานการณ์หนี้ครัวเรือนอย่างใกล้ชิดแล้ว แบงก์ชาติยังมีหลายมาตรการที่ออกมาเพื่อรับมือกับเรื่องนี้ โดยครอบคลุมตั้งแต่ก่อนเป็นหนี้ ระหว่างเป็นหนี้ และเมื่อหนี้มีปัญหา  

 

ในส่วนของผู้ใช้บริการทางการเงินนั้น ทางแบงก์ชาติเริ่มตั้งแต่การให้ความรู้ สร้างทักษะและภูมิคุ้มกันทางการเงิน อย่างต่อเนื่อง ด้วยการเผยแพร่ความรู้ทางการเงินในรูปแบบต่าง ๆ ผ่าน Website / Facebook ของธนาคารแห่งประเทศไทย / ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) 1213 รวมถึงช่องทางการสื่อสารอื่น ๆ ของเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน 

 

อีกทั้งยังมีโครงการสำคัญอีก 2 โครงการนั่นก็คือ โครงการ Fin ดี We can do!!! และโครงการ Fin.ดี Happy Life!!! ซึ่งเป็นโครงการที่แบงก์ชาติจัดทำขึ้นเพื่อเสริมสร้างการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางการเงินให้กับกลุ่มนักศึกษาอาชีวะและกลุ่มคนวัยทำงานโดยเฉพาะ ผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.1213.or.th ได้

 

ขณะที่ ในส่วนของสถาบันการเงิน (สง.) ในฐานะผู้ปล่อยกู้ แบงก์ชาติไม่เพียงแต่ออกมาตรการต่าง ๆ มาช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ Covid-19 เท่านั้น แต่ได้มีแผนที่จะส่งเสริมให้สถาบันการเงินดูแลการแก้ไขปัญหาหนี้สินในระยะยาว 

 

"ไม่ว่าจะเป็น การผลักดันให้ สง. มีการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบต่อสังคม (Responsible Lending) และการคิดอัตราดอกเบี้ยที่สอดคล้องกับความเสี่ยง (Risk-based pricing) ซึ่งแบงก์ชาติก็จะมีการสื่อสารมาตรการดังกล่าวออกมาเป็นระยะ" 

 

นอกจากนี้ นรศิยังให้ข้อแนะนำเกี่ยวกับปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนไว้อีกว่า ในยุคที่เศรษฐกิจไม่ค่อยเป็นใจ แถมยังถูกซ้ำเติมจากโรคระบาด Covid-19 อีก กลุ่มคนที่เป็นหนี้จะได้รับผลกระทบแรงกว่ากลุ่มอื่น จึงอยากฝากข้อคิดไว้สำหรับคนที่มีภาระหนี้อยู่ว่า

 

ข้อแรก คือ บริหารรายรับให้เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายและภาระหนี้ เพื่อประคับประคองตัวเองให้รอดในช่วงที่ยากลำบากไปได้ เพราะตอนนี้หลายคนตกงาน ขาดรายได้ หรือไม่ก็รายได้ลดลง จึงต้องระมัดระวังเรื่องการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและหลีกเลี่ยงการก่อหนี้ แต่หากจำเป็นต้องก่อหนี้ต้องมั่นใจว่าจะไม่เป็นภาระเกินตัว ทั้งนี้ เราไม่ควรมีภาระผ่อนหนี้เกิน 1 ใน 3 ของรายได้ต่อเดือน 

 

ส่วนข้อสอง คือ ถ้ารู้สึกว่าผ่อนหนี้ไม่ไหวอย่าหนีหนี้ เพราะจะเป็นการซ้ำเติมตัวเอง ดอกเบี้ยจะเพิ่มพูน และอาจถูกฟ้องและถูกยึดทรัพย์ ตลอดจนมีผลให้การขอกู้ในอนาคตจะลำบากอยิ่งขึ้น แต่สิ่งที่ควรทำคือให้เข้าไปคุยกับสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เพื่อขอปรับโครงสร้างหนี้ 

 

หรือหากรู้สึกว่าไม่รู้จะเริ่มยังไง นรศิแนะนำว่าให้เริ่มเขียนจดหมายถึงเจ้าหนี้ เพื่อจะได้ลำดับความคิดและคุยกับเจ้าหนี้ได้สะดวกขึ้น ซึ่งสิ่งที่ต้องบอกเจ้าหนี้ก็คือ ข้อมูลว่าตัวเองเป็นใคร เป็นหนี้อะไรบ้าง มีปัญหาทางการเงินอย่างไร และควรบอกตัวเลขในใจด้วยว่ายอดเงินเท่าไรที่ท่านจ่ายไหวด้วย

 

"โดยสามารถดูตัวอย่างแนวทางการเขียนจดหมายถึงเจ้าหนี้ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ www.1213.or.th หรือให้ search คำว่า How to write เขียนจดหมายยังไงให้เจ้าหนี้ยอมช่วย ก็จะมีตัวอย่างแบบละเอียดดังกล่าอยู่ด้วย" 

 

มาถึงตรงนี้ผู้ที่ยังไม่เป็นหนี้และผู้ที่มีสถานะเป็นลูกหนี้แล้ว น่าจะได้แนวคิดและนำคำแนะนำจากแบงก์ชาติที่มาถ่ายทอดกับ Post Tpday ไปปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเองได้ไม่มากก็น้อย เพื่อจะได้ไม่ต้องเผชิญกับปัญหามีหนี้สินเกินตัวจนแบกไม่ไหว

ข่าวล่าสุด

SME D Bank จัด 'Culture Day' ขับเคลื่อนวัฒนธรรมองค์กร "ประสานพลัง-พัฒนาเรียนรู้" สู่การเติบโต