การเงินธนาคารมอบนักการเงินแห่งปี 2565 แก่ วิทัย รัตนากร ผู้นำธนาคารออมสิน
วิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ได้รับเลือกเป็นนักการเงินแห่งปี 2565 จากวารสารการเงินธนาคาร ทั้งด้วยฐานะนักการเงินมืออาชีพวิสัยทัศน์กว้างไกลและทันสมัย ซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ สร้างความเติบโตยั่งยืนให้กับองค์กร รับผิดชอบต่อสังคมและทำคุณประโยชน์ต่อส่วนรวม
วารสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนธันวาคม 2565 ประกาศรางวัลเกียรติยศ “นักการเงินแห่งปี” โดยคณะกรรมการตัดสินรางวัลมีมติให้ นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ครองตำแหน่งนักการเงินแห่งปี 2565 ด้วยคุณสมบัติของการเป็นนักการเงินแห่งปีครบถ้วนตามหลักเกณฑ์การพิจารณาทั้ง 4 ด้าน เป็นนักการเงินมืออาชีพที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและทันสมัย มีความซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ สร้างความเติบโตยั่งยืนให้กับองค์กร รับผิดชอบต่อสังคมและทำคุณประโยชน์ต่อส่วนรวม
ทั้งนี้วารสารการเงินธนาคาร ได้มอบรางวัลเกียรติยศ นักการเงินแห่งปี Financier of the Year มาเป็นเวลา 40 ปีแล้ว โดยเริ่มครั้งแรกเมื่อปี 2525 ในชื่อเดิมของรางวัล “นายธนาคารแห่งปี” เพื่อยกย่องผู้บริหารระดับสูงของธนาคาร สถาบันการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน รวมทั้งสถาบันการเงินประเภทอื่น ๆ
สำหรับปี 2565 คณะกรรมการตัดสินรางวัล “นักการเงินแห่งปี” มีมติเอกฉันท์มอบรางวัลเกียรติยศ นักการเงินแห่งปี 2565 Financier of the Year 2022 ให้กับ นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ด้วยผลงานที่โดดเด่นผ่านคุณสมบัติการเป็นนักการเงินแห่งปีตามหลักเกณฑ์ทั้ง 4 ด้าน
คือ 1. เป็นนักการเงินที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและทันสมัย 2. เป็นนักการเงินมืออาชีพที่มีความซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ 3. เป็นนักการเงินที่สร้างความเจริญเติบโตและยั่งยืนให้กับองค์กร 4.เป็นนักการเงินที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและทำคุณประโยชน์ต่อส่วนรวม โดยเป็นนักการเงินแห่งปีคนที่ 31 ของ วารสารการเงินธนาคาร
จากวันแรก 1 กรกฎาคม 2563 ที่ก้าวเข้ามารับตำแหน่ง ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน นายวิทัย รัตนากร ได้ประกาศวิสัยทัศน์ปรับบทบาทธนาคารออมสินมุ่งสู่การเป็น “Social Bank” หรือ “ธนาคารเพื่อสังคม” เพื่อสร้างผลเชิงบวกแก่สังคม “Making POSITIVE Impact on Society”
ด้วยการดูแลลูกค้าและประชาชน 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ผู้มีรายได้น้อย ผู้ประกอบการรายย่อย และองค์กรชุมชน เพื่อสร้างการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นธรรม ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ด้วยการทำธุรกิจ Dual Track แบบสมดุลทั้งภารกิจเชิงพาณิชย์ (Commercial) เพื่อสร้างกำไรมาอุดหนุนภารกิจด้านสังคม (Social)
สำหรับภารกิจแรกในการเดินหน้าสู่ธนาคารเพื่อสังคม คือการนำธนาคารออมสินเข้าสู่ธุรกิจ Non-Bank อย่างเต็มตัว ด้วยการสนับสนุนแหล่งเงินทุนที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าตลาดในปัจจุบัน เป้าหมายแรกคือการเข้าไปแข่งขันในธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ในนามบริษัท เงินสดทันใจ จำกัด ซึ่งอนุมัติสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ไปแล้วจำนวน 1.4 ล้านราย คิดเป็นวงเงินสินเชื่อ 28,000 ล้านบาท และสามารถกดโครงสร้างดอกเบี้ยในตลาดสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจาก 28% ต่อปีให้เหลือ 16-18% ต่อปี
ส่วนภารกิจต่อมาคือ การเข้าช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยด้วยการออก “สินเชื่อ SMEs มีที่ มีเงิน” วงเงินโครงการ 10,000 ล้านบาท โดยมีแนวคิดในการเป็นตัวเลือกที่ยุติธรรมให้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่เป็น SMEs สามารถใช้โฉนดที่ดินมาเป็นหลักประกันการกู้เงิน วงเงินกู้สูงสุด 50 ล้านบาท เพื่อนำเงินไปเสริมสภาพคล่องให้กับกิจการ หรือนำไปไถ่ถอนจากสัญญาขายฝากที่ทำไว้
ทั้งนี้หลังจากประสบความสำเร็จจากการปล่อยสินเชื่อ SMEs มีที่ มีเงิน ที่เปิดให้กู้ครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม 2563 ภายในระยะเวลา 2 ปี ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการแล้ว 21,254 ล้านบาท จึงเกิดเป็นแนวคิดการจัดตั้ง บริษัท มีที่ มีเงิน จำกัด เข้าทำธุรกิจแข่งขันในตลาดสินเชื่อที่ดินและขายฝาก เพื่อผลักดันให้เป็นตลาดที่มีการแข่งขันสมบูรณ์ ลดโครงสร้างดอกเบี้ยซึ่งสูงเกินความเป็นจริง เพื่อให้ผู้ประกอบการและประชาชนได้รับประโยชน์จากสินเชื่อที่มีต้นทุนถูกลงและมีเงื่อนไขที่เป็นธรรม พร้อมช่วยลดปัญหาหนี้นอกระบบ
นอกจากนี้ ยังได้วางแผนจัดตั้งบริษัทประกอบธุรกิจ Non-Bank ในปี 2566 เพื่อทำธุรกิจสินเชื่อบุคคล (Personal Loan) เนื่องจากเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาดสินเชื่อส่วนบุคคลสูงเกินไป เป้าหมายของการเข้าไปดำเนินธุรกิจในครั้งนี้ เพื่อกดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำลงมามากว่า 5% จากเดิมที่อยู่ระดับ 25% ต่อปี
ด้วยมุมมองของนายวิทัยที่เล็งเห็นว่า สิ่งที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนภารกิจ Social Bank ให้ประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมายก็คือ Digital Banking ที่ให้บริการได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง ขณะเดียวกัน ยังช่วยสนับสนุนงานของสาขาได้เป็นอย่างดี จึงพัฒนาบริการลักษณะเฉพาะ หรือ Feature ใหม่ ๆ บนแอปพลิเคชั่น MyMo เพื่อให้ลูกค้าไม่ต้องเดินทางไปสาขาแต่สามารถใช้บริการบนโทรศัพท์มือถือได้ ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการสินเชื่อแบบ Digital Lending บริการเปิดบัญชีเงินฝาก (e-KYC) การปรับแผนชำระหนี้ การตรวจสอบข้อมูล Credit และ Credit Scoring เป็นต้น
นอกจากนี้ธนาคารยังวางแผนพัฒนา Digital Lending ให้สามารถพิจารณาอนุมัติสินเชื่อบนสมาร์ต โฟนด้วยแอปพลิเคชั่น MyMo ให้สมบูรณ์ขึ้นด้วยการวิเคราะห์ข้อมูล Alternative Data Analytic อย่างเต็มรูปแบบ โดยเน้นปล่อยสินเชื่อให้กับรายเล็ก หรือ Micro Finance ซึ่งปัจจุบันธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อรายย่อยผ่าน MyMo ได้มากกว่า 1.7 ล้านราย วงเงินสินเชื่อรวมกว่า 30,000 ล้านบาท และดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกค้า 5.5 แสนราย จากที่มีลูกค้าใช้ MyMo รวม 13 ล้านราย
รวมถึงธนาคารออมสินยังขยายบทบาทการส่งเสริมการออม ซึ่งให้ความสำคัญกับการวางแผนเกษียณ ด้วยการออกผลิตภัณฑ์เงินฝากออมสินระยะยาวเพื่อการเกษียณ เป็นการสร้างหลักประกันให้ประชาชนฐานรากชีวิต มีความพร้อมก้าวสู่วัยสูงอายุอย่างมีคุณภาพ ควบคู่ไปกับการสร้างวินัยทางการเงินให้กับประชาชน
ผ่านแอปพลิเคชั่นและเว็บไซต์ “ออมตังค์” ให้ความรู้ทางการเงินและหลักสูตรพัฒนาทักษะอาชีพ และแอปพลิเคชั่น “โค้ชออม” ซึ่งเป็นตัวช่วยวางแผนการออมให้ผู้ใช้แอปฯ สามารถทดลองคำนวณปริมาณเงินออมตามเป้าหมายต่างๆ ได้ด้วยตนเอง สามารถนำไปปรับใช้วางแผนการออม ทั้งที่เป็นเป้าหมายการออมระยะสั้นหรือการออมระยะยาว เพื่อให้มีเงินเพียงพอต่อคุณภาพชีวิตที่ดีหลังเกษียณ
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ที่ธนาคารออมสินปรับบทบาทเป็น “ธนาคารเพื่อสังคม” ภายใต้การนำของนายวิทัย ธนาคารทำภารกิจช่วยเหลือสังคมที่เป็นรูปธรรมในหลายมิติ ท่ามกลางสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งธนาคารเป็นหน่วยงานหลักในการส่งต่อความช่วยเหลือให้ประชาชนและภาคธุรกิจตามนโยบายรัฐบาลผ่านโครงการต่าง ๆ ถึง 47 โครงการ ในช่วง 2 ปีกว่าที่ผ่านมาสามารถช่วยเหลือประชาชนได้แล้ว 13 ล้านคน และปล่อยสินเชื่อกว่า 6.8 ล้านราย วงเงิน 1.66 ล้านล้านบาท
นอกเหนือจากมาตรการความช่วยเหลือต่าง ๆ แล้ว ธนาคารออมสินยังมี “โครงการออมสินสร้างงาน สร้างอาชีพ” เพื่อมุ่งหวังให้ประชาชนสามารถต่อยอดสร้างรายได้ในตนเองและครอบครัว ภายใต้แนวคิด 4 “ให้” ได้แก่ ให้ทักษะ ให้เงินทุน ให้อุปกรณ์ ให้พื้นที่ขาย เพื่อช่วยให้มีอาชีพ ฟื้นฟูรายได้อย่างยั่งยืน
ขณะเดียวกัน ธนาคารออมสินยังรักษาการเติบโตของผลประกอบการอย่างต่อเนื่อง โดย ณ เดือนตุลาคม 2565 ธนาคารมีกำไรสุทธิ 23,997 ล้านบาท คาดการณ์กำไรทั้งปี 2565 ที่ 27,200 ล้านบาท สามารถนำส่งรายได้เข้ารัฐเป็นจำนวนเงิน 17,349 ล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับ 4 จากรัฐวิสาหกิจ 58 แห่ง
โดยธนาคารมีสินทรัพย์ 3 ล้านล้านบาท เงินฝาก 2.57 ล้านล้านบาท สินเชื่อ 2.23 ล้านล้านบาท ซึ่งคง NPLs ไว้ได้ที่ 2.71% ตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) 168.86% และมีเงินสำรองรวม (Total Provision) และเงินสำรองทั่วไป (General Provision) ตลอดจนเพิ่มเงินกันสำรองเพื่อรองรับหนี้เสียที่จะเกิดขึ้น ณ ตุลาคม 2565 จำนวน 44,063 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 39,988 ล้านบาท จากปี 2562 ที่มีเงินสำรองเพียง 4,075 ล้านบาท
ในด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี ยังประกาศนโยบายของผู้นำองค์กร (Tone at the top) ที่จะดำเนินธุรกิจยึดหลัก Governance “เน้นความโปร่งใส การเปิดเผยข้อมูล การต่อต้านและลดทุจริต” เพื่อเป็นแรงส่งให้พนักงานในองค์กรปฏิบัติตาม และสร้างให้เป็นวัฒนธรรมองค์กร (Corporate Culture)
ด้วยการอบรมให้ความรู้ สร้างความเข้าใจ จัดทำสื่อการเรียนรู้รูปแบบต่างๆ จัดกิจกรรมสร้างการมีส่วนร่วม สร้างความตระหนักให้แก่พนักงานและลูกจ้างในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส ผ่านกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งการสร้าง Role Model ผ่านโครงการ ให้รางวัลจริยธรรมและจรรยาบรรณ


