สุทธิพงษ์ วรรณวานิช กู๊ดเยียร์เป็นผู้นำ
“ผมไม่ดูเรื่องส่วนแบ่งการตลาดว่ากู๊ดเยียร์ได้มากหรือน้อยในแต่ละตลาด แต่สิ่งที่ผมต้องการคือ ถ้าเรากระโดดลงไปเล่นในตลาดใดแล้ว เราต้องเป็นผู้นำในตลาดนั้น”
“ผมไม่ดูเรื่องส่วนแบ่งการตลาดว่ากู๊ดเยียร์ได้มากหรือน้อยในแต่ละตลาด แต่สิ่งที่ผมต้องการคือ ถ้าเรากระโดดลงไปเล่นในตลาดใดแล้ว เราต้องเป็นผู้นำในตลาดนั้น”
นั่นคือคำพูดของ สุทธิพงษ์ วรรณวานิช ผู้บริหารสูงสุดที่เป็นคนไทยที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของกู๊ดเยียร์ ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท กู๊ดเยียร์ (ประเทศไทย) ด้วยวัยเพียง 40 กว่าปี ถือว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมากสำหรับผู้บริหารหนุ่มที่ต้องมานั่งหัวโต๊ะในการประชุม เพื่อกำหนดทิศทางของกู๊ดเยียร์ในประเทศไทยว่าจะเดินไปทางใด
แม้ว่าตามนโยบายของกู๊ดเยียร์จะไม่เปิดเผยตัวเลขส่วนแบ่งการตลาด หรือยอดขายว่ามีจำนวนเท่าใด แต่ สุทธิพงษ์ ยืนยันว่า ยอดขายของกู๊ดเยียร์ในตลาดทดแทน (Replace ment) นั้นติดอันดับ 1 ใน 3 ของตลาดทดแทนของเมืองไทยแน่นอน ซึ่งในปีนี้คาดว่าตลาดรวมของตลาดทดแทนจะเติบโตจากปีก่อนประมาณ 3-4%
ขณะที่ในตลาดรับจ้างผลิต (OEM) นั้นในภาพรวมถือว่าดี เพราะอุตสาหกรรมยานยนต์เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลังค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นกำลังฟื้นกลับมาหลังได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น ทำให้เชื่อว่าในปีนี้ยอดผลิตรถยนต์ในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 8.5 แสนคัน หรือเมื่อคำนวณเป็นจำนวนยางแล้วจะมีทั้งสิ้น 6.8 ล้านเส้น
การเติบโตในตลาดโออีเอ็มถือว่าเป็นการเติบโตที่ดี แต่การแข่งขันในตลาดยางส่วนใหญ่จะเป็นการแข่งขันในตลาดทดแทน ที่ค่ายยางแต่ละค่ายต่างทุ่มสรรพกำลังที่มีอยู่เพื่อครองตลาดนี้ให้ได้มากที่สุด และกู๊ดเยียร์ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
“กู๊ดเยียร์จะเน้นการทำตลาดด้วยการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ของยางรถยนต์ เพื่อให้ผู้ใช้ได้ประโยชน์สูงสุด และเรายืนยันว่าจะไม่ใช้กลยุทธ์ราคาอย่างเด็ดขาด แต้เน้นคุณค่าของผลิตภัณฑ์”
เมื่อเป็นเช่นนั้น สุทธิพงษ์ก็เลยต้องทำให้ลูกค้าได้รู้จักและเข้าใจ ผลิตภัณฑ์กู๊ดเยียร์ให้มากกว่าเดิม ทำให้ในปีนี้กู๊ดเยียร์เปิดตัวยางรถยนต์ 2 รุ่น คือ กู๊ดเยียร์ แอชชัวแรนซ์ ฟิวแมกซ์ (GOODYEAR Assurance FUEL MAX) ที่เน้นในเรื่องของความประหยัดและความปลอดภัย ราคาเส้นละประมาณ 2,500 บาท
“ยางรุ่นนี้ คือนวัตกรรมใหม่ของเรา ที่สื่อให้ลูกค้าเห็นถึงการพัฒนาสินค้าของกู๊ดเยียร์ ที่ให้ทั้งความประหยัดและความคงทน โดยยางรุ่นนี้สามารถใช้ได้ระยะทาง 8 หมื่นกิโลเมตร ไม่ใช่ 4 หมื่นกิโลเมตรเหมือนยางระดับเดียวกัน และยังประหยัดน้ำมันอีก 4% หรือประมาณ 320 ลิตร ต่อ 8 หมื่นกิโลเมตร”
ส่วนอีกรุ่นคือ กู๊ดเยียร์ อีเกิล เอฟฟิเชียน กริป (GOODYEAR EAGLE Efficient Grip) ที่จะเจากลุ่มรถยนต์ระดับพรีเมียม ที่เน้นในเรื่องของความเงียบและความนุ่มนวลในการขับขี่ โดยตั้งราคาไว้เส้นละประมาณ 3,000 บาทขึ้นไป
สุทธิพงษ์ ย้ำว่า นวัตกรรมเหล่านี้ คือ สิ่งที่ต้องการสื่อให้ลูกค้าเห็นถึงเทคโนโลยีระดับสูงของกู๊ดเยียร์ ที่เน้นเรื่องความประหยัด ความปลอดภัย และความสบายเป็นหลัก
“กู๊ดเยียร์เกิดมา 100 กว่าปี เรายืนยันได้ว่าเทคโนโลยีและนวัตกรรมเรื่องยางของเราไม่แพ้ยางยี่ห้อใดในโลก และต่อจากนี้ไป เราจะเดินหน้านำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาสู่ตลาดเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง โดยภายใน 3-5 ปี ต้องทำให้ลูกค้ายอมรับว่ากู๊ดเยียร์เป็นยางที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ และมีคุณค่า”


