posttoday

รายย่อยตัวแปรสุดท้ายของ 'จัสตีล & เสริมสุข'

18 เมษายน 2554

ความขัดแย้งระหว่างบริษัท เป๊ปซี่โคลา ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท เสริมสุข (SSC)

ความขัดแย้งระหว่างบริษัท เป๊ปซี่โคลา ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท เสริมสุข (SSC)

กับผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัวของค่าหัวน้ำเชื้อ ที่ SSC ต้องจ่ายให้กับเป๊ปซี่ฯ ปีละหลายร้อยล้านบาท กำลังกลายเป็นไฟที่ก่อตัวใหญ่ขึ้น พร้อมที่จะเป็นไฟลามทุ่งได้ทุกขณะ

ปัญหาที่เป๊ปซี่ฯ ประสบอยู่ ตั้งเค้าขึ้นตั้งแต่กลุ่มนี้ตั้งบริษัท สตราทีจิค เบฟเวอร์เรจเจส ขึ้นมา พร้อมกับประกาศตัวทำคำเสนอซื้อหุ้น SSC จากนักลงทุนทั่วไป (เทนเดอร์ออฟเฟอร์) เมื่อต้นเดือน เม.ย. 2553 และตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้น ราคา 29 บาท ปรากฏว่า เมื่อถึงวันที่ 3 มิ.ย.ปีนั้น กลุ่มนี้ไม่ประสบความสำเร็จในการรับซื้อ โดยได้หุ้นมาเพียง 22.70 ล้านหุ้น หรือ 8.54% เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าเงื่อนไขที่ประกาศไว้ว่าต้องไม่น้อยกว่า 25.14 ล้านหุ้น เป็นผลให้วันที่ 11 มิ.ย. สตราทีจิคฯ ต้องประกาศยกเลิกการทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ หลังจากสิ้นสุดวันสุดท้ายของการรับซื้อเพียง 1 วันเท่านั้น

ความล้มเหลวในการทำคำเสนอซื้อของสตราทีจิคฯ นี้ น่าจะมีส่วนจากกลุ่ม “สมชาย บุลสุข” ผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่อีกกลุ่มไม่เล่นด้วย ที่จะยกหุ้นและบริษัททั้งหมดให้ตกอยู่ในมือของผู้ถือหุ้นใหญ่ต่างชาติรายนี้

รายย่อยตัวแปรสุดท้ายของ 'จัสตีล & เสริมสุข'

ความสัมพันธ์ร้าวฉานระหว่างเป๊ปซี่ฯ กับ SSC ไม่ได้จบเพียงแค่นี้ หรือจบตรงที่สตราทีจิคฯ ล้มความตั้งใจฮุบ SSC เป็นเพียงแค่การพักตัวของปัญหาใหญ่ที่ตามมา

“สมชาย” รู้ซึ้งถึงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มผู้บริหารกับเป๊ปซี่ฯ ที่ไม่อาจร่วมทางเดินกันต่อไปได้ หมากเกมนี้เดินต่อไปอย่างเงียบๆ

เมื่อจู่ๆ ปลายเดือน ต.ค. ปีเดียวกัน บริษัท เอสเอส เนชั่นแนล โลจิสติกส์ ประกาศตัวเข้าครอบงำกิจการด้วยการทำคำเสนอซื้อหุ้น SSC ทั้งหมด ราคาที่จ่ายสูงกว่าบนกระดาน ณ ขณะนั้น โดยยอมจ่ายถึง 42 บาท สูงกว่าที่กลุ่มสตราทีจิคฯ ให้ 13 บาท

ว่ากันว่ากลุ่มเอสเอสฯ คือตัวแทนของ “เสี่ยน้ำเมา” ที่เข้ามาซื้อหุ้น SSC นี้

การตั้งโต๊ะรับซื้อของกลุ่มเอสเอสฯ จะไม่ประสบความสำเร็จแน่นอน ถ้า “สมชาย” และพวก ไม่ยกหุ้นให้ ซึ่งสุดท้ายแล้วเอสเอสฯ ได้หุ้นไปครอง 86.73 ล้านหุ้น หรือ 32.62% ประกาศชัยชนะเหนือเป๊ปซี่-โคลา

ปัญหายังไม่จบ ????

เมื่อเป๊ปซี่-โคลา ฟ้องศาลให้ยกเลิกมติการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น SSC ครั้งที่ 2/2553 ซึ่งผู้ร้อง (เป๊ปซี่-โคลา) ถูกตัดสิทธิลงมติวาระ 3 ที่เกี่ยวกับสัญญาระหว่างเป๊ปซี่ฯ กับเสริมสุข

สุดท้ายสัญญาค้าขายระหว่างเป๊ปซี่ฯ & เสริมสุข มิอาจมีต่อไปได้

บทสุดท้ายของเกมนี้ จะเป็นอย่างไรต้องติดตามวันที่ 29 เม.ย.นี้ ในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี ซึ่งรายย่อยจะเป็นอีกตัวแปรของบทสรุปว่าจะยืนข้างเป๊ปซี่ฯ หรือเสริมสุข ภายใต้เงาของ เอสเอสฯ

เช่นเดียวกับกรณีของ บริษัท จีสตีล (GSTEEL) ทุกอย่างดูสดใส เมื่อแสงสว่างปลายอุโมงค์ส่องรำไร มาพร้อมกับ ลักษมี มิตตัล เศรษฐีอันดับ 5 ของโลก ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท อาร์เซลอร์ มิตตัล เหล็กอันดับ 1 ของโลก ประกาศเข้าอุ้มบริษัท จีสตีล ด้วยการถือหุ้น 40% พร้อมกับการใส่เงินร่วม 1 หมื่นล้านบาท ให้เป็นทุนหมุนเวียนในธุรกิจ รวมทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเหล็กให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น

แต่หารู้ไม่ว่า อาร์เซลอร์ฯ มิได้เป็นเทพบุตร ใจดี อย่างที่คิด

เพราะเงื่อนไขโหดที่ซ่อนอยู่ เป็นต้นว่า การคิดค่าถ่ายทอดเทคโนโลยี 2% ของยอดขายสูงสุดไม่เกิน 40 ล้านเหรียญสหรัฐ (ไม่รวมภาษี) เป็นเวลา 10 ปี และต่อได้อีก 10 ปี หรืออัตราดอกเบี้ยแพงลิ่ว 12% ต่อปี กรณีคืนหนี้ก่อนกำหนด คิดค่าธรรมเนียม 5% ฯ

ทุกอย่างของเงื่อนไขสัญญาไม่อาจแก้ไขได้ เพราะมีการเซ็นสัญญาเกิดขึ้นแล้ว อยู่ที่ “อาร์เซลอร์ฯ” จะเมตตาผ่อนผันเงื่อนไขให้อ่อนลงได้ เพราะถ้าดูแล้วจีสตีลไม่ได้เป็นรองที่ต้องถูกกดซะขนาดนี้ ไม่ว่าจะหนี้สินที่ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้หุ้นกู้ไปก่อนที่จะรับอาร์เซลอร์ฯ เข้ามา การตั้งสำรองทุกอย่างให้บัญชีเคลียร์รอรับผู้ร่วมทุนใหม่ การเข้ามาของอาร์เซลอร์ฯ มีแต่ได้กับได้ ก็ได้แต่หวังกันว่าผู้ถือหุ้นรายย่อยไปใช้สิทธิซักถามในการประชุมวิสามัญ 6 มิ.ย.ที่จะถึงนี้ เพื่อให้ “อาร์เซลอร์ฯ” ผ่อนเงื่อนไขโหดลงมา

สุดท้ายแล้วบทสรุปของจีสตีล & เสริมสุข คงไม่ต่างกันซะเท่าไร ซึ่งเป็นความต่างในความเหมือนที่ต้องรอเสียงเล็กๆ ที่มีพลังของรายย่อยชี้ขาดในที่ประชุมผู้ถือหุ้น แล้วทุกอย่างจะแฮปปี้เอนดิง

 

ข่าวล่าสุด

BUZZEBEES สร้างประวัติการณ์! กวาดฐานผู้ใช้งานทะลุ 200 ล้านบัญชี