ปรับโฉมโรงรับจำนำรัฐ สู้ธุรกิจไมโครไฟแนนซ์
คนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในสถานะ “เข้าตาจน” ต้องเข้าไปใช้บริการโรงรับจำนำ หรือโรงตึ๊ง
คนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในสถานะ “เข้าตาจน” ต้องเข้าไปใช้บริการโรงรับจำนำ หรือโรงตึ๊ง
โดย...ชีวรัตน์ กิจนภาธนพงศ์
คนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในสถานะ “เข้าตาจน” ต้องเข้าไปใช้บริการโรงรับจำนำ หรือโรงตึ๊ง แหล่งเงินที่รากหญ้าเข้าถึง ท่ามกลางนโยบายของรัฐพยายามที่จะลดความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
ไล่ตั้งแต่การผลักดันให้เกิดไมโครไฟแนนซ์ ธนาคารชุมชน ธนาคารไปรษณีย์ แต่อนาคตสถานธนานุเคราะห์ หรือโรงรับจำนำของรัฐ ที่มี 33-34 สาขา มูลค่าสินทรัพย์ 1.6 หมื่นล้านบาท จะมีทิศทางนโยบายอย่างไรต่อไป
นิธิศ มนูญพร ผู้อำนวยการสำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) กล่าวว่า นโยบายภาพรวมในระยะยาว เพื่อให้ประชาชนที่มีรายได้น้อยได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนราคาถูกได้รวดเร็วและเป็นธรรม โดยเน้นเรื่องให้ดอกเบี้ยต่ำกว่าโรงรับจำนำเอกชน
ตามกฎหมายโรงรับจำนำกำหนดวงเงิน 2,000 บาทแรกคิดอัตราดอกเบี้ยจำนำ 2% ต่อเดือน ส่วนเกิน 2,000 บาทแรกจะคิดอัตราดอกเบี้ยจำนำ 1.25 % ต่อเดือน ซึ่งโรงรับจำนำเอกชนส่วนใหญ่จะคิดเต็มเพดาน แต่โรงรับจำนำของรัฐวงเงินไม่เกิน 5,000 บาทแรกจะคิดดอกเบี้ย 0.25% ต่อเดือน ซึ่งต่างกันกว่า 8 เท่าตัว
หลักการบริหารต้นทุนการเงินหลังจากดอกเบี้ยขึ้นนั้น สธค.มีนโยบายจะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยรายย่อยที่วงเงินการจำนำไม่เกิน 1 หมื่นบาท ส่วนพวกวงเงินเกิน 1 หมื่นบาท อาจจะมีการปรับบ้างเล็กน้อย
โดยปัจจุบันวงเงินจำนำเกิน 1.5 หมื่นบาท จะคิดอัตราดอกเบี้ยจำนำ 1.25% ต่อเดือน จากเดิมอยู่ที่ 1% โดยปกติจะตรึงดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกิน 1.25% จากเพดานกฎหมายกำหนด 2% และส่วนใหญ่โรงรับจำนำเอกชนจะปรับดอกเบี้ยชนเพดานที่ 2% ต่อเดือน
ปัจจุบัน สธค.ให้วงเงินการรับจำนำทองคำ 87.5% ของราคาทองคำในสมาคมค้าทองคำประกาศประจำวันนั้น ซึ่งสูงกว่าโรงรับจำนำอื่นที่มีการรับจำนำ 80-85% ซึ่งบางที่โรงรับจำนำเอกชนก็ต้องดู สธค.เหมือนกัน
สำหรับสภาพการแข่งขันของธุรกิจการรับจำนำในปัจจุบัน ซึ่งในส่วนองค์กรบริหารท้องถิ่น เทศบาล และเอกชน นิธิศ กล่าวว่า ปัจจุบันโรงรับจำนำทั่วประเทศมีประมาณ 500 กว่าแห่งเท่านั้น ยังไม่มีความเพียงพอ แต่เนื่องจากกระทรวงมหาดไทยก็ยังไม่มีนโยบายจะเพิ่มหรือเปิดเสรีการเปิดโรงรับจำนำ ซึ่งถือว่าโรงรับจำนำยังไม่มีการแข่งขัน และเชื่อว่ามีความต้องการโรงรับจำนำอีกมาก ส่วนใหญ่ก็มีกลุ่มลูกค้าของตัวเอง ซึ่งในต่างจังหวัดส่วนใหญ่เทศบาลจะมีการจัดตั้งโรงรับจำนำเทศบาลเองเพื่อให้บริการลูกค้าในพื้นที่
“ถึงแม้ว่า สธค.จะเป็นรัฐวิสาหกิจอยู่ภายใต้กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ก็ยังไม่มีนโยบายที่จะให้ขยายการบริการในต่างจังหวัด โดยปัจจุบัน สธค.มีจำนวน 33 สาขาเท่านั้น โดยส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเท่านั้น และยังไม่มีนโยบายให้หน่วยงานรัฐเปิดเสรีเปิดสาขาได้ และปัจจุบันถูกจำกัดโควตาอยู่ และจะให้สิทธิองค์กรท้องถิ่นได้โควตาการเปิดโรงรับจำนำเองก่อน” นิธิศ กล่าว
สำหรับคู่แข่งขันของโรงรับจำนำน่าจะเป็นร้านขายทองต่างๆ ที่มีการขายฝากทอง ถือว่าเป็นคู่แข่งโรงรับจำนำ แม้ว่าจะมีการคิดอัตราดอกเบี้ยสูง 2% ต่อเดือน แต่ประชาชนส่วนใหญ่จะใช้บริการเพราะสะดวกและกล้าที่จะเข้าไปใช้บริการมากกว่าโรงรับจำนำ
นิธิศ กล่าวว่า ในอนาคตจะมีการเปิดธนาคารไปรษณีย์ของรัฐบาล คาดว่าไม่กระทบกับ สธค. เนื่องจากไม่มีสาขาในต่างจังหวัด โดยที่ผ่านมาแม้ว่ารัฐบาลมีนโยบายลดภาระของประชาชนด้วยการให้มีการใช้น้ำประปาฟรี ไฟฟรี รถเมล์ฟรี ก็ไม่มีผลกระทบกับ สธค. ซึ่งยังมีลูกค้ามาใช้บริการตามปกติ เพราะค่าครองชีพสูงขึ้น คนมีความจำเป็นต้องการใช้เงินเพิ่มขึ้น
สำหรับอนาคตโรงรับจำนำในประเทศไทย หากยังไม่มีการแก้ไขกฎหมายก็จะยังคงเป็นอย่างนี้ ตั้งแต่มีกฎหมายการรับจำนำปี 2505 ต่างจากโรงรับจำนำในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ก็มีการรับจำนำที่มีความหลากหลาย ทั้งการรับจำนำได้ทั้งอสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน บ้าน และรถยนต์
กฎหมายในเซี่ยงไฮ้โรงรับจำนำสามารถจำนำได้หลากหลาย มีลักษณะเหมือนไมโครไฟแนนซ์ แต่ของไทยกฎหมายรับจำนำยังไม่มีการแก้ไข ประเด็นการเปิดให้มีการรับจำนำหลากหลายไม่เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ แม้ล่าสุดที่มีการประชาพิจารณ์เพื่อที่จะมีการปรับปรุงกฎหมายการรับจำนำใหม่ ก็ไม่ได้มีการกล่าวถึงการขยายธุรกิจการรับจำนำให้มีความหลากหลายมากขึ้น แต่เป็นประเด็นเรื่องการเปิดเสรีโรงรับจำนำมากกว่า ซึ่งก็ยังมีผู้คัดค้านการเปิดเสรีอยู่
โดยส่วนใหญ่การรับจำนำเป็นสินทรัพย์ประเภททองคำกว่า 95% ส่วนที่เหลือเป็นอัญมณีต่างๆ และเบ็ดเตล็ด ส่วนตราสารเอกสิทธิ์ต่างๆ กฎหมายยังไม่อนุญาต แม้ว่าก่อนหน้าที่จะมีการผลักดันให้สามารถรับจำนำสลากออมสิน แต่ก็ไม่สามารถทำได้
แต่สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงในอนาคตของธุรกิจนี้คือเรื่องภาพลักษณ์ที่จะเน้นการให้บริการรวดเร็ว มีการปรับสถานที่ให้มีภาพลักษณ์หรือดูทันสมัยมากขึ้น ในแง่ของการรับจำนำประเภทของทรัพย์ก็คงไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก และการแข่งขันในแง่อัตราดอกเบี้ยก็คงไม่มีมากนัก
แม้ก่อนหน้านี้มีแนวคิดที่จะเปิดโรงรับจำนำในห้างสรรพสินค้า ก็ยังติดขัดเกี่ยวกับเรื่องกฎหมาย เกี่ยวกับเรื่องแผนผัง และการจัดสร้างห้องมั่นคง รวมทั้งการที่จะให้ลูกค้าสะดวกในการส่งดอกเบี้ย โดยส่งดอกเบี้ยต่างสาขาได้ หรือผ่านธนาคาร หรือช่องทางอื่นๆ ก็ยังไม่สามารถทำได้ เพราะติดขัดที่กฎหมายไม่อนุญาตให้ทำ เพราะการทำธุรกรรมกับโรงรับจำนำไม่ว่าการรับจำนำ การต่อดอกเบี้ย กำหนดให้ผู้จำนำต้องพิมพ์ลายนิ้วมือ หรือแปะโป้งเฉพาะสาขาที่รับจำนำ แต่ก็มีแนวคิดจะใช้ระบบสแกนนิ้วมือแทนเหมือนถ่ายเอกสารนิ้วมือ เหมือนกับ “อีซี่มันนี่” โรงรับจำนำเอกชนที่ทำปัจจุบัน
“ถ้ากฎหมายไม่มีการเปลี่ยนแปลง โรงรับจำนำประเทศไทยก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง” นิธิศ กล่าวทิ้งท้าย
นายนิธิศกล่าวว่าขณะนี้กระทรวงมหาดไทยอยู่ระหว่างการจัดทำประชาพิจารณ์ที่จะมีการแก้ไขพ.ร.บ.โรงรับจำนำ พ.ศ. 2505 โดยประเด็นสำคัญของการแก้ไขกฎหมายโรงรับจำนำใหม่จะเน้นเรื่องการเปิดเสรีมากว่า ซึ่งมองว่าหากมีการเปิดเสรีโรงรับจำนำจะก่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนได้ ที่จะลดปัญหาหนี้นอกระบบ
ธุรกิจโรงรับจำนำถือว่าเป็นธุรกิจที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และสามารถเป็นแหล่งเงินทุนให้กับรากหญ้าเข้าถึงได้ ที่จะลดปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งปัจจุบันธุรกิจโรงรับจำนำขาดการรวมตัวกัน ดังนั้นยังไม่มีข้อมูลภาพรวมต่างๆ โดยก่อนหน้านี้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) พยายามที่จะหาข้อมูลธุรกิจนี้ก็ไม่สามารถหาข้อมูลได้ ซึ่งกระทรวงมหาดไทย จะเก็บเฉพาะรายชื่อที่จดทะเบียนเท่านั้น ไม่ได้มีการรายงานปริมาณธุรกิจให้ทราบเหมือนธนาคารพาณิชย์ที่รายงานธปท.
ดังนั้นถ้าธปท.ต้องการข้อมูลขนาดธุรกิจจะต้องไปดูข้อมูลงบการเงินจากกระทรวงพาณิชย์ แต่ละโรงรับจำนำที่มีประมาณ 500 แห่ง
"ผมคาดว่าธุรกิจการรับจำนำมีปริมาณธุรกิจไม่น่าจะต่ำกว่า 2.5 แสนล้านบาท โดยเฉพาะสธค.มีสินทรัพย์ 1.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีสำคัญและมีผลต่อเศรษฐกิจมากทำให้ธปท.สนใจ " นายนิธิศกล่าว
สำหรับแผนงานของสธค.ของในปีนี้ตั้งเป้าหมายจะเพิ่มการยอดการรับจำนำ7 % โดยอิงกับตัวเลขอัตราการเติบโตเฉลี่ยในปีที่ผ่านมา และราคาทองคำที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวสูงขึ้น โดยปัจจุบัน มีแต่ละปีมีมูลค่าการรับจำนำประมาณ 5,000 ล้านบาท จำนวนฐานลูกค้า 3แสนราย โดยแนวโน้มไม่เพิ่มมาก ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าเก่าแต่จะมาเพิ่มยอดการใช้บริการเนื่องจากราคาทองคำที่สูงขึ้น ส่วนอัตราการปล่อยทรัพย์หลุดประมาณ 5 % และมาไถ่ถอนคืนประมาณ 95 %
สำหรับในช่วงเปิดเทอมจะมีลูกค้ามาใช้บริการเพิ่มจากปกติ10-15% โดยได้จัดเตรียมเงิน 400 ล้านบาท เพื่อให้บริการประชาชนในช่วงเดือนพ.ค.นี้
ทั้งนี้ปัจจุบันธุรกิจโรงรับจำนำเอกชนมีส่วนต่างดอกเบี้ย(สเปรด) 15- 16 % แต่ปัจจุบันสธค.มี สเปรด 11-12 % โดยทริสต้องการที่ให้ลด89 % ซึ่งไม่สามารถที่จะลดเสปรดได้เพราะไม่ใช่ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ที่สามารถ ประกอบด้วยแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น แต่การรับจำนำไม่สามารถที่จะปรับดอกเบี้ยได้ตามต้นทุนที่สูงขึ้นเพราะมีเพดานการคิดดอกเบี้ยได้ไม่เกิน 2 % ต่อเดือนที่ผ่านมาสะค.ก็ไม่คิดดอกเบี้ยจำนำนสูงจนชนเพดานอย่างมาสูงสุดก็ 1.25 %
ในด้านการประมูลขายทอดตลาดสินทรัพย์ที่หลุดรับจำนำพยายามประชาสัมพันธ์ให้ประมูลในสาขาต่างๆ ส่วนใหญ่พ่อค้าหน้าเดิมมาประมูล แต่ราคาก็ได้เป็นธรรมเพราะมีราคากลางขายเกินราคาก็พอใจแล้วไม่ขาดทุน ราคาปัจจุบันราคากลางในการประมูลก็จะอิงกับราคาทองคำตามประกาศของสมาคมค้าทอง นโยบายการรับจำนำอย่างเป็นธรรม เพื่อให้เงินจุนเจือลูกค้าไป ในส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเลคทรอนิกส์ก็ยังคงรับจำนำโดยให้ราคาตามสภาพ ให้ราคา 50 % ของราคามือสอง เช่น ราคาซื้อใหม่ 10,000 บาท ราคาตลาดมือสอง 6,000 บาท จะรับจำนำ 3,000 บาท และแม้ว่าของเครื่องใช้ไฟฟ้าจะตกรุ่นเร็ว แต่ถ้าลูกค้าไม่มาไถ่ถอนภายใน 5 เดือนก็จะสามารถที่จะประมูลได้ โดยสินค้ายังไม่ตกรุ่นมากนัก
"ขณะนี้ประชาชนมีความเข้าใจหรือความกล้าที่จะมาใช้บริการโรงรับจำนำมากขึ้น เห็นได้จากมีลูกค้าที่หลากหลาย ในขณะเดียวกันสธค.มีการปรับภาพลักษณ์สาขาให้คล้ายคลึงสถาบันการเงินมากขึ้น มีกระจกโปร่งใส โดยปีนี้มีแผนปรับภาพลักษณ์สาขาใหม่อีก 10 สาขา" นายนิธิศกล่าวว่า
อย่างไรก็ตามยอมรับว่าปัจจุบันมีพวกที่ใช้โรงรับจำนำเป็นแหล่งหมุนเงินแทนที่จะไปกู้เงินนอกระบบ เพราะคุ้ม เพราะอัตราดอกเบี้ยจำนำ 1.25 % ต่อเดือน หรือดอกเบี้ย 15 % ต่อปี แต่ถ้ากู้เงินนอกระบบดอกเบี้ย 20% ต่อเดือน หรือดอกเบี้ยกู้ธนาคาร 7-8 % แต่ก็ต้องใช้เวลานาน ในขณะที่มาใช้บริการโรงรับจำนำได้สะดวก "มีบ้างที่ลูกค้าใช้ช่องโหว่บ้างโรงรับจำนำบ้างมาซอยทรัพย์ที่วงเงินไม่เกิน 5,000 บาทเพื่อได้ดอกเบี้ย 0.25 % ต่อเดือน หรือเวียนการจำนำ โดยวงเงินรับจำนำสูงสุด 1 แสนต่อใบ วันหนึ่งไม่เกิน 5 แสนต่อสาขา " นายนิธิศกล่าวว่า
นายนิธิศกล่าวว่า ในธุรกิจนี้ยังไม่มีปัญหาสมองไหล เพราะธุรกิจโรงรับจำนำไม่ได้เปิดกันจำนวนมากมาย


