posttoday

ศาลยกคำร้องคดีดาวเทียมไทยคม 7-8 ชี้ไม่ใช่สัมปทานของดีอี

25 ธันวาคม 2568

ศาลปกครองกลางมีคําพิพากษา คดีกระทรวงดีอี ร้องขอให้เพิกถอนคําชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการเกี่ยวกับ การจัดส่งดาวเทียมไทยคม 7 และ ไทยคม 8 ชี้ไม่ใช่สัมปทานดีอี แต่อยู่ในระบบใบอนุญาตกสทช.

วันที่ 25  ธันวาคม 2568  ศาลปกครองกลางมีคําพิพากษา คดีหมายเลขดําที่ 2742 / 2565 หมายเลขแดงที่  2905 / 2568  ระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม  หรือ ดีอี ผู้ร้อง กับ บริษัท ไทยคม จํากัด (มหาชน) ที่ 1 บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จํากัด (มหาชน) (บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จํากัด (มหาชน) เดิม) ที่ 2 ผู้คัดค้าน โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ดาวเทียมไทยคม 7 และดาวเทียมไทยคม 8  ไม่ใช่ดาวเทียมที่ผู้คัดค้านทั้งสองจัดส่งขึ้นสู่ตําแหน่งวงโคจรดาวเทียมตามข้อ 10 ข้อ 11 และข้อ 12 ของสัญญาดําเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ

แต่เป็นดาวเทียมที่ผู้คัดค้านทั้งสองจัดส่งขึ้นสู่ตําแหน่งวงโคจรภายใต้ใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่สาม ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ครั้งที่ 22/ 2555  เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2555 และครั้งที่ 24/ 2555 เมื่อวันที่ 26  มิถุนายน 2555 และภายใต้ใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่สาม ตามมติที่ประชุม กทค. ครั้งที่ 7/ 2557  เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2557โดยความยินยอมของผู้ร้อง ในฐานะที่ผู้ร้องเป็นผู้มีอํานาจหน้าที่ในการดูแล จัดสรรการใช้วงโคจรดาวเทียมของประเทศไทยอยู่ในขณะนั้น

ทั้งนี้ ตามนัยของหนังสือ ที่ ทก 0204/ 658 ลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2557 เรื่อง การรักษาสิทธิในการใช้ข่ายงานดาวเทียม ณ ตําแหน่งวงโคจร 78.5  องศาตะวันออก ที่ผู้ร้องได้มีถึงเลขาธิการ กสทช. ซึ่งมีสาระสําคัญว่า พระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 ในบทเฉพาะกาลมาตรา 80 ได้กําหนดให้ผู้รับอนุญาต สัมปทานจากหน่วยงานของรัฐหรือคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐมีสิทธิประกอบกิจการโทรคมนาคมตามขอบเขตเดิมที่ได้ตกลงกัน และตามระยะเวลาที่เหลืออยู่ของการอนุญาต สัมปทาน หรือสัญญานั้น

ศาลยกคำร้องคดีดาวเทียมไทยคม 7-8 ชี้ไม่ใช่สัมปทานของดีอี

ดังนั้น การดําเนินโครงการดาวเทียมเพิ่มเติมนอกเหนือจากการอนุญาตภายใต้สัญญาสัมปทานนั้น จึงต้องได้รับอนุญาตและให้บริการภายใต้ใบอนุญาตของ กสทช. เท่านั้น

ทําให้หน่วยงานของรัฐไม่สามารถดําเนินการเปลี่ยนแปลงการอนุญาตสัมปทานหรือสัญญาได้ แม้ในขณะนั้นผู้ร้องจะเป็นผู้มีอํานาจหน้าที่ในการดูแล จัดสรรการใช้วงโคจรดาวเทียมของประเทศไทยอยู่ก็ตาม แต่ผู้ร้องก็ไม่อาจตกลงเปลี่ยนแปลงสัญญาสัมปทานได้

อีกทั้งเห็นว่า การที่คณะอนุญาโตตุลาการได้วินิจฉัยว่าตามสัญญาสัมปทานกําหนดให้ผู้คัดค้านทั้งสองมีหน้าที่ส่งดาวเทียมหลักและดาวเทียมสํารอง โดยให้มีดาวเทียมในวงโคจรรวม 2 ดวง ในกรณีที่ดาวเทียมดวงหลักหรือดาวเทียมสํารองเสียหายก่อนสิ้นอายุการใช้งานและหรือไม่สามารถใช้งานได้ ผู้คัดค้านทั้งสองก็จะต้องส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรทดแทน เพื่อให้บริการได้อย่างต่อเนื่องตลอดอายุสัมปทานเป็นการวินิจฉัยที่ถูกต้องตรงตามเจตนารมณ์แห่งสัญญาแล้ว คณะอนุญาโตตุลาการไม่ได้วินิจฉัยว่า

ผู้คัดค้านทั้งสองมีหน้าที่จัดส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจร 2 ชุด จํานวนเพียง 4 ดวง ตามที่ผู้ร้องเข้าใจและกล่าวอ้าง กรณีจึงฟังไม่ได้ว่าคําชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ข้อพิพาทหมายเลขดําที่ 97/ 2560 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 65/ 2565 เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2565 เป็นคําชี้ขาดที่ไม่อยู่ในขอบเขต หรือเกินขอบเขตแห่งสัญญาดําเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ

และการยอมรับหรือการบังคับตามคําชี้ขาดดังกล่าวจะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามนัยมาตรา 34 วรรคสี่ มาตรา 37 วรรคสอง และมาตรา 40 วรรคสาม (1) (ง) และ (2) (ข) แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 ศาลไม่มีอํานาจเพิกถอนคําชี้ขาดดังกล่าวพิพากษายกคําร้อง

ข่าวล่าสุด

ทรูจัดใหญ่คริสต์มาสอีฟ เซอร์ไพรส์ลูกค้าอิ่มฟรีที่บาร์บีกอน