posttoday

เมื่อผมไปปฏิบัติธรรม ธรรมกับธุรกิจครอบครัว (1)

08 กุมภาพันธ์ 2554

...กิติพงศ์ อุรุพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ บริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ 

...กิติพงศ์ อุรุพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ บริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ 

สวัสดีวันตรุษจีนครับท่านผู้อ่าน ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ครับ อาจจะช้าไปหน่อย แต่ก็ขอให้ท่านผู้อ่านโชคดีปีเถาะ เฮงเฮงตลอดปีครับ บทความตอนนี้ผมมีเรื่องอยากจะแบ่งปันประสบการณ์กับท่านผู้อ่าน คือเมื่อช่วงวันที่ 2229 ม.ค. 2554 ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมกับท่านอาจารย์ชยสาโร เป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่ได้เคยไปปฏิบัติเมื่อปีที่แล้ว การปฏิบัติธรรมคราวนี้ผมได้เดินทางไปปฏิบัติธรรมที่บ้านพอ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ด้วยความกรุณาเป็นอย่างยิ่งของคุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์ คุณนงนารถ เพ็ญชาติ และกลุ่มญาติธรรม มูลนิธิปัญญาประทีปและผู้บริหารโรงเรียนทอสี การปฏิบัติธรรมปีนี้เป็นการปฏิบัติธรรมครั้งที่ 3 ในชีวิตของผมเอง แต่เป็นการปฏิบัติธรรมครั้งที่ 2 กับท่านอาจารย์ชยสาโร

ท่านผู้อ่านคงทราบชื่อเสียงและกิตติศัพท์ของท่านอาจารย์ชยสาโรดีว่าท่านเป็นพระป่าชาวอังกฤษ ลูกศิษย์หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง เคยเป็นเจ้าอาวาสวัดป่านานาชาติ วัดหนองป่าพง ผมเองได้เคยได้ฟังธรรมของท่านอาจารย์ชยสาโรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2545 เมื่อคราวที่ได้ไปเรียนสถาบันพระปกเกล้ารุ่นที่ 5 ที่ จ.อุดรธานี และรู้สึกว่าท่านแสดงธรรมได้น่าประทับใจ

ผมได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมครั้งแรกกับท่านอาจารย์ชยสาโรเมื่อต้นปีที่แล้ว (2553) ในฐานะที่ผมได้เคยมีความสนใจในการอ่านหนังสือธรรมะมาเป็นเวลานานกว่า 30 ปี แต่ไม่เคยมีโอกาสปฏิบัติ จึงรู้สึกว่าการเข้าปฏิบัติธรรม 3 ครั้งที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติธรรมกับท่านอาจารย์ชยสาโร 2 ครั้ง ท่านอาจารย์พระไพศาล วิสาโล 1 ครั้ง ทำให้ผมคิดว่า การเข้าปฏิบัติธรรมนั้นน่าจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ในฐานะเป็นชาวพุทธควรจะต้องได้ลองปฏิบัติดู หากท่านผู้อ่านมีโอกาสก็ควรจะต้องไปปฏิบัติธรรมในฐานะเป็นพุทธศาสนิกชนโดยไม่เป็นพุทธศาสนิกชนแต่เพียงในนาม ส่วนท่านจะไปปฏิบัติธรรมสำนักใดก็ขึ้นอยู่กับจริต โอกาส ระยะเวลา และความต้องการของท่าน

โดยทั่วไปการเข้าปฏิบัติธรรมที่ผ่านมาของผมก็คือ การถือศีล 8 ตื่นเช้าตี 4 ตี 4 ครึ่งสวดมนต์ทำวัตรเช้า นั่งสมาธิ ออกกำลังกาย รับประทานอาหาร เดินจงกรม สวดมนต์ ฟังธรรม ตอบปัญหาธรรม และปิดวาจา เป็นเวลา 7 วัน ซึ่งผมคิดว่าเป็นการ Detox จิตหรือชำระล้างจิตได้ ซึ่งถ้าผู้อ่านหากมีโอกาสผมก็อยากจะเชิญชวนท่านผู้อ่านได้หาโอกาสไปปฏิบัติธรรมตามสถานปฏิบัติธรรมที่มีอยู่มากมายในประเทศไทย

ผมอยากจะกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่าง ธรรมกับธุรกิจครอบครัวว่า ธรรมจะแก้ไขปัญหาของธุรกิจครอบครัวได้อย่างไร ในปีที่แล้วเมื่อมีโอกาสผมได้สอบถามท่านอาจารย์ชยสาโรถึงการไม่ให้มีความขัดแย้งของสมาชิกในครอบครัว ท่านก็ชี้แจงว่าขึ้นอยู่กับการอบรมเลี้ยงดูของครอบครัว และ การใช้สัมมาทิฐิในการดำเนินชีวิต

ในปีนี้อีกเช่นกัน ผมก็ได้ตั้งคำถามกับท่านอาจารย์ชยสาโรในเรื่องธุรกิจครอบครัวเพิ่มขึ้น จึงอยากจะนำประเด็นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจครอบครัวมาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟัง เพราะว่าถ้าหากเราไปศึกษาในหลักการแล้ว ก็จะพบว่าปัญหาของธุรกิจครอบครัวไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแบ่งปันผลประโยชน์ (Compensation) การสื่อสาร การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น (Communication) และการแก้ไขความขัดแย้งต่างๆ (Conflict Resolution) ซึ่งผมเห็นว่าน่าจะใช้หลักธรรมในพระพุทธศาสนาแก้ไขได้ ซึ่งผมก็จะพยายามนำมาเล่าสู่กันฟัง ก็อาจจะผิดบ้างถูกบ้าง ก็ขอให้ท่านผู้อ่านใช้ดุลยพินิจก็แล้วกันนะครับ

คำถามแรกที่ผมเรียนถามท่านอาจารย์ชยสาโรว่า การที่เราต้องการให้ธุรกิจครอบครัวมีความยั่งยืนเจริญจากรุ่นสู่รุ่นนั้น จะไม่เป็นการขัดกับหลักของพุทธศาสนาที่ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นของไม่เที่ยงหรือเปล่า ท่านอาจารย์ได้ตอบว่า พุทธศาสนาได้กล่าวถึงว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นของไม่เที่ยงนั้นถูกต้อง แต่ว่าการที่จะเสื่อมหรือไม่เสื่อมนั้นก็เกิดโดยเหตุปัจจัยทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้น ถ้าเรามีเหตุปัจจัยที่จะชะลอความเสื่อมได้ มีความรู้ในเหตุปัจจัย ก็ย่อมสามารถให้ธุรกิจครอบครัวมีความยั่งยืนได้

เพราะฉะนั้น หากว่าธุรกิจครอบครัวจะเสื่อมหรือเจริญก็ขึ้นอยู่กับว่าสมาชิกในครอบครัวต้องคิดว่ากิจกรรมนั้นดี ทุกคนต้องช่วยกันคิด และเมื่อสมาชิกในครอบครัวเห็นเหตุปัจจัยได้แล้ว ก็จะแก้ไขเหตุปัจจัยให้ได้ดีหรือดีขึ้นกว่าเดิม

ฉะนั้น สิ่งที่สำคัญคือ สมาชิกในครอบครัวควรจะต้องมีการคุยกันในการที่จะหาเหตุปัจจัยว่าจะทำอย่างไรให้ธุรกิจครอบครัวเจริญเติบโตได้อย่างยั่งยืน

และท่านยังได้กล่าวอีกว่าในการทำธุรกิจครอบครัวก็ควรแยกเรื่องธุรกิจกับเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัวออกจากกัน โดยควรมีกฎเกณฑ์ตกลงให้ชัดเจนว่า หากเป็นเรื่องครอบครัวกับธุรกิจควรแยกกันอย่างไร คล้ายๆ การกำหนดธรรมนูญครอบครัว ซึ่งผมเรียนท่านว่า แนวคิดของท่านเหมือนกันกับกูรูด้านธุรกิจครอบครัวระดับโลก (ไม่ว่าจะเป็น ศ.John Ward และ John Davis) ที่แนะนำในเรื่องนี้เลยทีเดียว

ท่านผู้อ่านเห็นมั้ยครับว่า หลักธรรมในพุทธศาสนานั้นเป็น อะกาลิโก (ถือเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล) แม้บัญญัติไว้นานแล้ว ก็ยังจะนำมาปรับใช้กับยุคปัจจุบันได้

ผมจึงมีความเชื่อว่า ถ้าหากธุรกิจครอบครัวใดมีความสนใจในธรรม ซึ่งอาจจะเป็นศาสนาใดก็ตาม ศึกษาธรรมะของศาสนาของตัวเองให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ความเจริญของธุรกิจครอบครัวจากรุ่นสู่รุ่น ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงความไม่เที่ยงไปได้

นี่จึงเป็นคำตอบข้อหนึ่ง ซึ่งผมคิดว่าธุรกิจครอบครัวหรือสมาชิกในครอบครัวควรจะหันมาศึกษาและปฏิบัติตามหลักธรรม ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะให้ทุกคนมีความเห็นพ้องต้องกันในเรื่องปฏิบัติธรรม

คราวหน้าผมจะนำเรื่องหลักธรรม (ที่พอจะรู้แบบงูๆ ปลาๆ) ว่าจะนำมาใช้ในการบริหารจัดการธุรกิจเพื่อขจัดความขัดแย้งเพื่อให้มีความรักสามัคคีของธุรกิจครอบครัวได้อย่างไร เพื่อจะให้มีเป้าประสงค์ก็คือ การให้ธุรกิจครอบครัวเจริญเติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไป ธรรมะสวัสดีครับ

ข่าวล่าสุด

เปิด Top 3 ดวงขึ้นแรงสุด 12 นักษัตร นักธุรกิจ ใครปัง รับปีม้าไฟ