posttoday

จับตา กู้เงินนอก "สร้างเขื่อนเจ้าพระยา" คุ้มค่าไหม? ท่ามกลางวิกฤตหนี้ไทย

15 พฤศจิกายน 2568

อนุสรณ์ หนุน สร้างเขื่อนเจ้าพระยา คุ้มค่าระยะยาว ตัดวงจรเยียวยาแก้น้ำท่วมซ้ำซาก ชี้กู้นอกโปร่งใส มีเม็ดเงินใหม่เข้าประเทศ แต่เตือนรัฐบาล ต้องหาเงิน คู่ขนาน หวั่นหนี้สาธารณะจ่อทะลุ 70%

KEY

POINTS

  • นักวิชาการสนับสนุนโครงการสร้างเขื่อนเจ้าพระยาตอนล่าง โดยมองว่าเป็นการลงทุนที่จำเป็นและคุ้มค่าในระยะยาวเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม
  • การกู้เงินจากสถาบันการเงินต่างประเทศ เช่น ธนาคารโลกหรือ ADB ถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่ดีเนื่องจากมีกระบวนการตรวจสอบที่โปร่งใส
  • มีความกังวลต่อหนี้สาธารณะของประเทศที่อาจพุ่งสูงเกิน 70% ของจีดีพี ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ

นาทีนี้ การตัดสินใจด้านการคลังของรัฐบาลกำลังถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด เมื่อ "นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง" ออกมาเปิดเผยถึงแผนการศึกษาการ "กู้เงินจากต่างประเทศเพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศ" เพื่อ สร้างเขื่อนเจ้าพระยาตอนล่าง ที่เป็นหมุดหมายสำคัญในการแก้ปัญหาน้ำท่วมและการใช้งบประมาณในการเยียวยาซ้ำซากในพื้นที่ภาคกลางอย่างยั่งยืน

ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยมุมมองกับ โพสต์ทูเดย์ ว่า การบริหารจัดการน้ำและป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่ราบลุ่มภาคกลางเป็น “ความจำเป็นอย่างยิ่ง” และถือเป็นการลงทุนที่ “คุ้มค่าในระยะยาว” ต่ออนาคตเศรษฐกิจไทย

เนื่องจาก การลงทุนในโครงการนี้ไม่เพียงแต่เป็นการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากเท่านั้น แต่ ยัง "ถือเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ประเทศต้องการ" และ "มีความจำเป็นที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน" เนื่องจาก ถ้าหากไม่เริ่มต้นทำตอนนี้ โครงการก็จะไม่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่า "อีก 30 ปีข้างหน้า กรุงเทพฯ อาจเผชิญความเสี่ยงที่จะจมน้ำทะเลได้"

เมื่อความจำเป็นในการสร้างมีสูง สิ่งที่ตามมาคือ "เราจะเอาเงินมาจากไหน?" ดร.อนุสรณ์ ชี้ว่า หากรัฐบาลเลือกที่จะ "ลงทุนเอง" ในโครงการขนาดใหญ่นี้ ก็อาจจำเป็นต้องกู้เงิน โดยมีทางเลือกหลักที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

1. กู้เงินภายในประเทศ แม้ว่าสภาพคล่องในไทยยังเหลืออยู่ แต่หากรัฐบาลดึงสภาพคล่องนี้มาใช้ อาจเกิด "แรงดันให้อัตราดอกเบี้ย" ในระบบเพิ่มขึ้นได้
2. กู้เงินต่างประเทศ ทางเลือกนี้ถูกมองว่ามีจุดแข็งสำคัญคือ จะนำ "เม็ดเงินใหม่" เข้ามาในระบบเศรษฐกิจไทย และยังสามารถทำได้ เนื่องจาก สัดส่วนหนี้ต่างประเทศของไทยโดย รวมยังอยู่ในระดับที่ยังไม่สูง ทำให้ยังมี "room" ที่จะกู้ได้อยู่

"สิ่งที่เป็นข้อดีสำคัญประการหนึ่ง ของการกู้เงินจากต่างประเทศ คือ หากรัฐบาลเลือกที่จะกู้ผ่าน "สถาบันการเงินระหว่างประเทศ" เช่น "ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) หรือ ธนาคารโลก (World Bank) องค์กรเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นผู้ปล่อยกู้ และมีกระบวนการตรวจสอบที่โปร่งใส เข้ามาดูแลโครงการด้วยตนเอง"

นอกจากนี้ การใช้ "ระบบ PPP (Public-Private Partnership)" หรือความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ควรศึกษา ซึ่งอาจช่วย "ลดภาระทางการคลังของภาค รัฐลงได้"

แม้การลงทุนจะมีความจำเป็น แต่ ดร.อนุสรณ์ ได้ส่งสัญญาณเตือนถึงสถานการณ์ทางการคลังที่ตึงเครียดของไทย โดยระบุว่า "หนี้สาธารณะ" ของไทย ซึ่งปัจจุบันตัวเลขล่าสุดเกิน 64% ต่อ GDP ไป แล้ว มีความน่าเป็นห่วง

ความน่าเป็นห่วงนี้มาจากผลการประเมินที่ชี้ว่า สัดส่วนหนี้สาธารณะของไทย "อาจขึ้นไปแตะหรือทะลุ 70% ได้ในอีกไม่นานนัก" หากตัวเลขนี้เพิ่มสูงขึ้นโดยไม่มีแนวทางแก้ไขที่ชัดเจน จะส่งผลร้ายแรงถึงขั้นที่ประเทศไทย "ถูกลดอันดับเครดิต" ได้ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนทางการเงินของภาคเอกชนและระบบเศรษฐกิจโดยรวมสูงขึ้นตามไปด้วย

ดังนั้น บทสรุปของการตัดสินใจนี้ ดร.อนุสรณ์ เน้นย้ำว่า รัฐบาลจะต้อง "ศึกษาให้ดีก่อน อย่างรอบคอบ" ว่าจะใช้วิธีการอย่าง ไรในการกู้ เงิน และที่สำคัญที่สุดรัฐบาลควร "ดำเนิน การควบคู่กันไปกับการหาวิธีในการหารายได้ด้วย" นอกเหนือจากการกู้เงิน เพื่อให้การลงทุนที่จำเป็นนี้ไม่นำพาประเทศไปสู่ความเสี่ยงทางการคลังที่ไม่สามารถแก้ไขได้ในระยะยาว
 

ข่าวล่าสุด

กม.แรงงานใหม่มีผล7ธ.ค.เพิ่มสิทธิลาคลอดคู่สมรสลาได้เต็มจำนวน