“เอกนิติ” รับศึกษาแผนกู้เงินนอกสร้างเขื่อน แก้น้ำท่วมซ้ำซาก คาดชัดเจนปี69
รมว.คลัง เผยอยู่หว่างเร่งศึกษาแนวทางกู้เงินต่างชาติสร้างเขื่อนเจ้าพระยาตอนล่าง หวังแก้น้ำท่วมซ้ำซาก ลดภาระงบเยียวยาหลายหมื่นล้านต่อปี คาดเห็นชัดปี 2569
KEY
POINTS
- กระทรวงการคลังได้รับมอบหมายให้ศึกษาแผนแก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากในระยะยาว โดยเน้นการลงทุนสร้างเขื่อนแทนการใช้งบเยียวยารายปี
- กำลังพิจารณาแนวทางการกู้เงินจากต่างประเทศในรูปแบบเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรน (Soft Loan) เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับโครงการ
- คาดว่าการศึกษาและรายละเอียดของแผนทั้งหมดจะมีความชัดเจนภายในปี พ.ศ. 2569 ก่อนเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ซึ่งมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังเร่งศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยเน้นการวางแนวทางแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ซึ่งประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากแทบทุกปี
นายเอกนิติ กล่าวว่า แนวทางสำคัญคือการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น การสร้างเขื่อน เพื่อแก้ปัญหาระยะยาวแทนการใช้งบประมาณเยียวยาประชาชนทุกปี ซึ่งมีมูลค่ารวมหลายหมื่นล้านบาท
“ที่ผ่านมาใช้งบเยียวยาน้ำท่วมปีละหลายหมื่นล้านบาท หากนำมารวมกัน 2–3 ปี ก็สามารถสร้างเขื่อนได้ทั้งระบบ เราจึงต้องมองการแก้ปัญหาเชิงรุก ผ่านการลงทุนที่ยั่งยืน แทนการเยียวยาซ้ำซาก” นายเอกนิติ กล่าว
เบื้องต้น กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ โดยพิจารณาแนวทาง การกู้เงินจากต่างประเทศในรูปแบบเงื่อนไขผ่อนปรน (Soft Loan) ซึ่งหลายประเทศได้แสดงความสนใจเสนอให้กู้ พร้อมสนับสนุนด้านเทคนิคและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้การก่อสร้างสอดคล้องกับธรรมชาติและไม่สร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศ
ทั้งนี้ คาดว่าการศึกษาแนวทางและรายละเอียดโครงการจะมีความชัดเจนภายในปี 2569 ก่อนเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
นายเอกนิติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัญหาน้ำท่วมยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจและการแก้หนี้ครัวเรือน ซึ่งกระทรวงการคลังกำลังเร่งขับเคลื่อน จึงจำเป็นต้องจัดทำแผนแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างควบคู่กัน เพื่อให้การพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตประชาชนเดินหน้าได้อย่างยั่งยืน


