posttoday

เอกชน หนุน “แก้หนี้ต่ำกว่า 1 แสนบาท” ยกระดับชีวิตลูกหนี้ทั้งครอบครัว

04 พฤศจิกายน 2568

เอกชน หนุน “โครงการแก้หนี้ประชนชนต่ำกว่า 1 แสนบาท” ช่วยปลดโซ่ตรวนหนี้ 2 ล้านราย และยกระดับชีวิตลูกหนี้ทั้งครอบครัว

KEY

POINTS

  • รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่มีหนี้ไม่เกิน 1 แสนบาท โดยตั้งเป้าช่วยเหลือในเฟสแรกประมาณ 2 ล้านคน
  • ใช้กลไกโอนหนี้เสียจากสถาบันการเงินไปยังบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ให้มีเงื่อนไขผ่อนปรนมากขึ้น
  • ภาคเอกชนสนับสนุนโครงการ โดยมองว่าการแก้หนี้ให้ประชาชนได้ จะส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของคนในครอบครัวและภาพรวมของประเทศ

ในโลกแห่งความเป็นจริงมีประชาชนจำนวนหนึ่งที่ต้องแบกรับภาระหนี้สินที่มองไม่เห็น นั่นคือ หนี้รายย่อยที่ไม่มีหลักประกัน. หนี้ก้อนเล็กๆ เหล่านี้ เมื่อรวมกันก็กลายเป็นภูเขาลูกใหญ่ โดยลูกหนี้ที่ก่อหนี้ตั้งแต่ในอดีตจนถึงวันที่ 30 ก.ย.2568 และมีหนี้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย มีมากถึง 3.4 ล้านราย หรือ 4.76 ล้านบัญชี คิดเป็นภาระหนี้รวมประมาณ 122,000 ล้านบาท

ท่ามกลางความกังวลนี้เอง รัฐบาลก็ได้จุดประกายความหวังครั้งใหม่ โดยในการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ ครั้งที่ 3/2568 มีมติเห็นชอบมาตรการลดภาระหนี้ประชาชน มาตรการนี้ คือ โครงการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC)

โดยเฟสแรก มีเป้าหมายในการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ประมาณ 2 ล้านคน คิดเป็น 2.35 ล้านบัญชี ภาระหนี้รวม 62,400 ล้านบาท แบ่งเป็น 

1.ลูกหนี้จากกลุ่มธนาคารพาณิชย์และบริษัทลูก จำนวน 1.56 ล้านบัญชี คิดเป็น 1.25 ล้านคน ภาระหนี้รวม 43,600 ล้านบาท จะถูกโอนเข้าสู่ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM)

2.ลูกหนี้จากกลุ่มสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) จำนวน 790,000 บัญชี คิดเป็น 700,00  คน ภาระหนี้รวม 18,800 ล้านบาท จะถูกโอนไปยัง บริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด (Ari-AMC) ซึ่งเป็นบริษัทที่เกิดจากการร่วมทุนระหว่างธนาคารออมสินและบริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM

กลไกการช่วยเหลือ (กลุ่มที่ 1) การปรับโครงสร้างหนี้ผ่าน AMC

เมื่อหนี้ของลูกหนี้ธนาคารพาณิชย์และ SFIs ถูกขายและโอนไปยัง AMC (SAM หรือ Ari-AMC) แล้ว หน้าที่ของบริษัทบริหารสินทรัพย์เหล่านี้ คือการนำหนี้ดังกล่าวมาปรับโครงสร้างหนี้ สิ่งนี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนเจ้าหนี้ แต่เป็นการเสนอ เงื่อนไขการผ่อนชำระที่ผ่อนปรน และเหมาะสมกับความสามารถของลูกหนี้กลุ่มนี้มากขึ้นอย่างแท้จริง ตัวอย่างของความผ่อนปรนที่ลูกหนี้จะได้รับ เช่น การลดดอกเบี้ย, การไม่คิดดอกเบี้ย, หรือการให้จ่ายชำระเพียงบางส่วนเพื่อปิดบัญชี

มาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติ่ม (กลุ่มที่ 2) SFIs ดูแลกลุ่มเปราะบาง

นอกจากกลไก AMC แล้ว ลูกหนี้ของ SFIs ซึ่งถูกจัดเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางมากกว่าลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ จะได้รับการช่วยเหลือเพิ่มเติมจาก SFIs เอง SFIs จะมีมาตรการเฉพาะของแต่ละธนาคารเพื่อบริหารจัดการหนี้ให้เหมาะสมกับศักยภาพของลูกหนี้ 

มาตรการเหล่านี้ครอบคลุมตั้งแต่การลดเงินต้นยกเว้นดอกเบี้ยทั้งหมด, มาตรการชำระบางส่วนเพื่อปิดบัญชี, การผ่อนปรนการติดตามทวงถามที่มากกว่าเกณฑ์ปกติ ไปจนถึงการปิดบัญชีและตัดเป็นหนี้สูญ สำหรับลูกหนี้ที่ขาดศักยภาพในการชำระหนี้อย่างแท้จริง

รัฐบาลยังวางแผนที่จะขยายขอบเขตการช่วยเหลือไปยังลูกหนี้ของผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-banks) ด้วยหลักการเดียวกัน 

โดยในวันที่ 11 พ.ย.2568 โครงการดังกล่าวจะถูกนำเสนอให้ ครม. รับทราบ จากนั้น ธปท. จะดำเนินการทำ MOU ร่วมกับสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนมาตรการนี้ต่อไป

นายสุขสันต์ ยศะสินธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO ได้กล่าวถึงโครงการนี้ว่า เป็น “โครงการที่ดี” เพราะหากสามารถแก้หนี้ให้กับประชาชนได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ประมาณ 2 ล้านคน จะส่งผลดีอย่างยิ่งต่อภาพรวมของประเทศ โดยเฉพาะการลดหนี้เสียที่เกี่ยวกับสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิต

แต่ผลลัพธ์ที่แท้จริงของโครงการนี้กลับยิ่งใหญ่เกินกว่าตัวเลขทางการเงิน 

นายสุขสันต์ ชี้ให้เห็นว่า “ถ้าโครงการนี้แก้หนี้ประชาชนได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ประมาณ 2 ล้านคน แต่จะ Impact กับคนมากกว่านั้น เพราะเมื่อปลดหนี้ได้ทำให้คนในครอบครัวดีขึ้นไปด้วย เช่น คนที่เป็นหนี้มีคนในครอบครัวอีก 4 คน หากแก้หนี้ได้ 2 ล้านคน เท่ากับ จะ Impact กับคน 8 ล้านคน”

ดังนั้น เรื่องราวของการแก้หนี้ประชาชนต่ำกว่า 100,000 บาทนี้ จึงไม่ใช่เพียงแค่การปรับโครงสร้างตัวเลขในบัญชี แต่คือการคืนชีวิต คืนกำลังใจ และมอบความหวังครั้งใหม่ให้กับประชาชนและครอบครัวรวมกันหลายล้านคนทั่วประเทศ

ข่าวล่าสุด

“ณัฐพล” ยอมถอย ลาออกบอร์ดสรรหา ปิดข้อครหา “สรรหาผอ.ดีป้าไม่โปร่งใส”