posttoday

เปิดกรอบข้อตกลงการค้าต่างตอบแทนสหรัฐฯ-ไทย โอกาสหรือความท้าทาย

27 ตุลาคม 2568

การบรรลุกรอบข้อตกลงว่าด้วยการค้าต่างตอบแทนระหว่างสหรัฐฯ-ไทย" ที่มาเลเซีย อาจดูเหมือนข่าวดี แต่จริงๆแล้ว เป็นการค้าต่างตอบแทนจริงหรือไม่

KEY

POINTS

  • ไทยตกลงเปิดตลาดโดยจะยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ประมาณ 99% และมีข้อผูกพันในการจัดซื้อสินค้าเกษตร พลังงาน และอากาศยานมูลค่ามหาศาล
  • ข้อตกลงมีความไม่สมดุล โดยในขณะที่ไทยเปิดตลาดเกือบทั้งหมด สหรัฐฯ ยังคงอัตราภาษีสำหรับสินค้าไทยส่วนใหญ่ไว้ที่ 19% และจะพิจารณายกเว้นภาษีให้สินค้าไทยเพียงบางรายการ
  • ไทยต้องปรับเปลี่ยนกฎระเบียบและมาตรฐานภายในประเทศครั้งใหญ่ให้สอดคล้องกับสหรัฐฯ ครอบคลุมด้านยานยนต์ ยา การค้าดิจิทัล สิทธิแรงงาน สิ่งแวดล้อม และทรัพย์สินทางปัญญา

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ไทยและสหรัฐอเมริกาได้ ประกาศ "กรอบข้อตกลงว่าด้วยการค้าต่างตอบแทน" (Framework for an Agreement on Reciprocal Trade) อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะกลายเป็นเงื่อนไขและข้อผูกพันที่อาจพลิกโฉมภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจของไทยไปอย่างชัดเจน

 

 ข้อผูกพันและเงื่อนไขหลัก

 

ประเทศไทยจะเปิดตลาดและปรับปรุงกฎระเบียบภายในประเทศ เพื่อแลกกับการเข้าถึงตลาดสหรัฐอเมริกาที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อทิศทางเศรษฐกิจของไทยในอนาคต

พันธกรณีหลักของฝ่ายไทย

• การเปิดตลาดด้านภาษีและไม่ใช่ภาษี: ไทยจะยกเลิกอุปสรรคทางภาษีสำหรับสินค้าจากสหรัฐฯ ประมาณ 99% ซึ่งครอบคลุมสินค้าอุตสาหกรรม อาหาร และเกษตรกรรมอย่างครบถ้วน นอกจากนี้ ไทยมุ่งมั่นที่จะแก้ไขอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) ที่สำคัญหลายประการ เช่น การยอมรับมาตรฐานยานยนต์และความปลอดภัยของสหรัฐฯ, การยอมรับใบรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐฯ สำหรับเครื่องมือแพทย์และยา เป็นต้น

• การยกระดับมาตรฐานและกฎระเบียบ: ไทยให้คำมั่นที่จะปรับปรุงกฎหมายและแนวปฏิบัติให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลใน 3 ด้านที่สำคัญ ได้แก่ สิทธิแรงงาน, สิ่งแวดล้อม โดยจะออกมาตรการต่อต้านการค้าไม้ผิดกฎหมายและการประมงที่ผิดกฎหมาย (IUU Fishing)  และการยอมรับพร้อมปฏิบัติตามข้อตกลงขององค์การการค้าโลก (WTO) ว่าด้วยการอุดหนุนการประมงอย่างเต็มที่ และ ทรัพย์สินทางปัญญา  

พันธกรณีหลักของฝ่ายสหรัฐฯ

จะคงอัตราภาษีต่างตอบแทน (reciprocal tariffs) สำหรับสินค้าที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศไทยไว้ที่ 19% ตามที่กำหนดไว้ในคำสั่งฝ่ายบริหารที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ จะพิจารณาสินค้าไทยบางรายการให้ได้รับสิทธิพิเศษ โดยใช้อัตราภาษีเป็นศูนย์ (0%) ตามที่ระบุไว้ในภาคผนวกของคำสั่งฝ่ายบริหาร

เปิดกรอบข้อตกลงการค้าต่างตอบแทนสหรัฐฯ-ไทย โอกาสหรือความท้าทาย

 

แต่เมื่อมองลงไปในรายละเอียด ข้อตกลงนี้ มีข้อสังเกตที่น่าสนใจหลายประการ

 

1. การเปิดตลาดเกือบ 100% ของไทย

ประเด็นที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งในข้อตกลงนี้ คือพันธสัญญาของประเทศไทยในการยกเลิกอุปสรรคทางภาษีสำหรับสินค้าจากสหรัฐอเมริกาประมาณ 99% ซึ่งครอบคลุมทั้งสินค้าอุตสาหกรรม อาหาร และสินค้าเกษตรทุกประเภท

นี่คือการเปิดเสรีทางการค้าในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสำหรับประเทศไทย การยอมลดกำแพงภาษีให้กับสินค้าเกือบทุกรายการจากสหรัฐฯ ถือเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่และเป็นการให้สิทธิ์แก่ผู้ส่งออกอเมริกันในการเข้าถึงตลาดไทยได้อย่างมหาศาล  

 

2. ความ "ต่างตอบแทน" ที่ไม่เท่ากัน?

แม้ชื่อข้อตกลงจะใช้คำว่า "การค้าต่างตอบแทน" (Reciprocal Trade) แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียดจะพบแง่มุมที่น่าสนใจและสวนทางกับความเข้าใจทั่วไป ในขณะที่ประเทศไทยตกลงที่จะลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ลงเหลือศูนย์ในสัดส่วนเกือบ 100% ทางฝั่งสหรัฐอเมริกาจะยังคงอัตราภาษีสำหรับสินค้าไทยไว้ที่ 19%

 

 3. ไม่ใช่แค่ข้อตกลง แต่เป็นใบสั่งซื้อขนาดมหึมา

นอกเหนือจากเรื่องภาษีแล้ว กรอบข้อตกลงนี้ยังมาพร้อมกับข้อตกลงทางการค้าเชิงพาณิชย์ที่มีมูลค่ามหาศาล ซึ่งเป็นเหมือน "ใบสั่งซื้อ" ขนาดใหญ่ที่ไทยตกลงจะจัดหาจากบริษัทอเมริกันโดยตรง เช่น

• สินค้าเกษตร: จัดซื้อมูลค่าประมาณ 2.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (เช่น ข้าวโพดอาหารสัตว์, กากถั่วเหลือง, และกากธัญพืชจากการกลั่น)

• ผลิตภัณฑ์พลังงาน: จัดซื้อมูลค่าประมาณ 5.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (เช่น ก๊าซธรรมชาติเหลว, น้ำมันดิบ, และอีเทน)

• อากาศยาน: จัดซื้อเครื่องบินสหรัฐฯ 80 ลำ รวมมูลค่า 1.88 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

ข้อตกลงนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงการเปิดตลาดในเชิงนโยบาย แต่ยังมาพร้อมกับพันธสัญญาที่เป็นรูปธรรมที่จะสร้างประโยชน์โดยตรงให้กับอุตสาหกรรมหลักของสหรัฐอเมริกา

เปิดกรอบข้อตกลงการค้าต่างตอบแทนสหรัฐฯ-ไทย โอกาสหรือความท้าทาย

 

4. การเปลี่ยนแปลงเชิงลึกที่มากกว่าเรื่องภาษี

ผลกระทบของข้อตกลงนี้ขยายไปไกลกว่าเรื่องภาษีศุลกากร โดยมุ่งจัดการกับสิ่งที่เรียกว่า "อุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี" (Non-Tariff Barriers) ซึ่งเกี่ยวข้องกับกฎระเบียบและมาตรฐานภายในประเทศ โดยประเทศไทยได้ให้คำมั่นที่จะดำเนินการเปลี่ยนแปลงในหลายด้านที่สำคัญ ได้แก่:

• ยอมรับมาตรฐานความปลอดภัยและการปล่อยมลพิษของยานยนต์ที่ผลิตในสหรัฐฯ

• ยอมรับใบรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐฯ สำหรับเครื่องมือแพทย์และยา ว่าเพียงพอต่อข้อกำหนดของไทย

• ผ่อนคลายข้อจำกัดการถือครองกรรมสิทธิ์ของชาวต่างชาติในภาคโทรคมนาคมสำหรับการลงทุนของสหรัฐฯ

• งดเว้นการจัดเก็บภาษีบริการดิจิทัล (Digital Services Tax) และรับรองการถ่ายโอนข้อมูลข้ามพรมแดนอย่างเสรี

• ยกเลิกข้อกำหนดที่บังคับให้การประมวลผลข้อมูลธุรกรรมบัตรเดบิตต้องทำภายในประเทศ

• แก้ไขกฎหมายศุลกากรเพื่อยกเลิกระบบรางวัลสินบนนำจับที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดและบทลงโทษ

การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ หมายถึงการปรับกฎระเบียบของไทยให้สอดคล้องกับมาตรฐานและแนวปฏิบัติของสหรัฐฯ ซึ่งมีศักยภาพที่จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างการแข่งขันในภาคส่วนเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเศรษฐกิจดิจิทัลและกระบวนการทางศุลกากร

 

5. ข้อผูกพันครอบคลุมถึงสิทธิแรงงาน สิ่งแวดล้อม และทรัพย์สินทางปัญญา

สิ่งที่หลายคนอาจคาดไม่ถึงคือขอบเขตของข้อตกลงนี้กว้างไกลกว่าเรื่องการค้าสินค้าและบริการ แต่ยังรวมถึงข้อผูกพันที่ชัดเจนในประเด็นทางสังคมและกฎหมายที่สำคัญด้วย โดยครอบคลุมถึง:

• สิทธิแรงงาน: การคุ้มครองสิทธิในการรวมกลุ่มและการเจรจาต่อรองของแรงงานอย่างเต็มที่ และการจัดการกับการละเมิดในภาคส่วนที่มีความเสี่ยงสูงต่อการใช้แรงงานบังคับและแรงงานเด็ก

• สิ่งแวดล้อม: การต่อสู้กับการค้าไม้ผิดกฎหมาย, การประมงที่ผิดกฎหมาย (IUU fishing), การค้าสัตว์ป่า และการยอมรับและปฏิบัติตามข้อตกลงว่าด้วยการอุดหนุนการประมงขององค์การการค้าโลก (WTO) อย่างเต็มที่

• ทรัพย์สินทางปัญญา: การแก้ไขปัญหาที่ค้างคามานาน ซึ่งรวมถึงการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการปลอมแปลงเครื่องหมายการค้าและการละเมิดลิขสิทธิ์, ปัญหาองค์กรจัดการร่วมที่ฉ้อโกง (rogue collective management organizations), การหลีกเลี่ยงมาตรการคุ้มครองทางเทคโนโลยี และการจัดการปัญหาสิทธิบัตรค้างส่ง

ดูรายละเอียดข้อตกลงฉบับเต็ม ที่นี่

อนาคตการค้าไทยบนเวทีเศรษฐกิจโลก

ข้อตกลงการค้าต่างตอบแทนระหว่างไทยและสหรัฐฯ จึงไม่ใช่แค่ข้อตกลงเปิดเสรีทางการค้าทั่วไป แต่เป็นแพ็กเกจที่ซับซ้อนซึ่งประกอบด้วยการเปิดตลาดครั้งใหญ่, พันธสัญญาการจัดซื้อจำนวนมหาศาล, และการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบภายในประเทศอย่างลึกซึ้งเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานของสหรัฐฯ

 

ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ทั้งไทยและสหรัฐฯ จะเริ่มต้นการเจรจาเพื่อสรุปรายละเอียดของข้อตกลงฉบับสมบูรณ์ ตามด้วยการเตรียมการลงนามและดำเนินพิธีการภายในประเทศเพื่อให้ข้อตกลงมีผลบังคับใช้ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทย ได้แสดงความเชื่อมั่นและตั้งเป้าหมายที่จะสรุปผลการเจรจาให้ได้ภายในสิ้นปีนี้ ขณะที่รัฐบาลไทยกำลังดำเนินการจัดตั้ง "คณะทำงานยุทธศาสตร์เจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกา" เพื่อกำกับดูแลและกำหนดทิศทางการเจรจาให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ

 

สหรัฐอเมริกาถือเป็นคู่ค้าที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจไทย โดยในปี 2567  เป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งและเป็นคู่ค้าอันดับสองของไทย กรอบข้อตกลงการค้าต่างตอบแทนระหว่างไทย-สหรัฐฯ ฉบับนี้ ถือเป็นการกำหนดภูมิทัศน์ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศในอนาคต ซึ่งทุกภาคส่วนจำเป็นต้องจับตาดูการเจรจาในรายละเอียดที่จะเกิดขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับทั้งโอกาสและความท้าทายที่จะตามมา

ข่าวล่าสุด

เปิดโปรแกรมวอลเลย์บอลหญิง ซีเกมส์ 2025 รอบรองฯ ไทยดวลอินโดฯ