posttoday

MAGURO ร้านอาหารญี่ปุ่นพันล้าน ทำธุรกิจกับเพื่อนไม่แย่เสมอ

11 ตุลาคม 2568

เรียนรู้จาก MAGURO จากวงเพื่อนสี่คน สร้างอาณาจักรร้านอาหารญี่ปุ่นพันล้าน มองการทำธุรกิจกับเพื่อนไม่แย่เสมอ ชอบทุกอย่างที่เป็น “ภาษาอาหาร” ไม่หยุดแค่เซกเมนต์เดียว

KEY

POINTS

  • เรียนรู้จากมากุโระ (MAGURO) จากวงเพื่อนสี่คน สู่จักรวาลร้านอาหารญี่ปุ่นพันล้าน
  • จักรกฤติ สายสมบูรณ์ ซีอีโอมากุโระ มองการทำธุรกิจกับเพื่อนไม่แย่เสมอไป 
  • ชอบทุกอย่างที่เป็น “ภาษาอาหาร” ขอแข่งกับตัวเองเมื่อปีที่แล้ว

 

ในโลกธุรกิจ คำว่า “ทำด้วยกัน” ฟังดูอบอุ่นเสมอในวันเริ่มต้น แต่ไม่ใช่ทุกคนจะเดินถึงเส้นชัยพร้อมกันได้จริงๆ เพื่อนที่เคยสนิทกัน อาจกลายเป็นคู่แข่ง หุ้นส่วนที่เคยจับมือกันแน่น อาจจบลงด้วยคดี หรือครอบครัวที่เคยร่วมสร้างกิจการ กลับแตกหักเพราะผลประโยชน์

 

แต่ “มากุโระ” (MAGURO) แบรนด์ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ถือกำเนิดจากกลุ่มเพื่อนสี่คนเมื่อสิบปีก่อน กลับเดินฝ่ากฎนั้นมาได้อย่างสง่างาม สิบปีให้หลัง จากร้านขนาดไม่ถึง 100 ตารางเมตร วันนี้พวกเขากลายเป็นผู้นำธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นระดับพันล้าน มีถึง 7 แบรนด์ในเครือ และกว่า 49 สาขาทั่วประเทศ

 

เพื่อน 4 คนที่หลงใหลในญี่ปุ่น 

จักรกฤติ สายสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เล่าย้อนความหลังกับ “โพสต์ทูเดย์” ว่า มากุโระเริ่มต้นจากเพื่อน 4 คนที่หลงใหลทุกอย่างเกี่ยวกับญี่ปุ่น ตั้งแต่การ์ตูน เกม วัฒนธรรม ไปจนถึงร้านอาหารที่ได้สัมผัสเวลาไปเที่ยว

“ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ราคาเข้าถึงได้และมีคุณภาพวัตถุดิบดีเหมือนไปทานที่ญี่ปุ่น ซึ่งมีปลาสดและความพรีเมียม แต่ราคาไม่แพงนั้น ในญี่ปุ่นมีเยอะมาก แต่ในประเทศไทยแทบไม่มีเลย ร้านที่มีอยู่มักจะสุดโต่งไปเลย คือ แพงมาก เช่นอยู่ในโรงแรม ย่านค่าเช่าสูง หรือเป็นร้านราคาถูกหน่อย แต่วัตถุดิบไม่ดีมาก 

ทำให้เราเห็นช่องว่างตรงกลางที่เรียกว่าพรีเมียมแมสคือคุณภาพดี แต่ราคาเข้าถึงได้ ซึ่งกรุงเทพชั้นนอก อย่างบางนาถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพ มีจำนวนประชากรและหมู่บ้านเยอะ แต่ร้านลักษณะนี้ยังมีน้อย นั่นจึงเป็นที่มาที่เลือกเปิดมากุโระสาขาแรกในย่านบางนา”

จักรกฤติ เล่าต่อว่า หลังจากแบรนด์มากุโระเริ่มเป็นที่รู้จัก ใช้เวลาศึกษาและพัฒนาระบบ ตั้งระบบ, สร้างทีม ดูแลทั้งหลังบ้านและหน้าบ้าน เพื่อให้เข้าที่เข้าทางใช้เวลาประมาณ 8-9 เดือน จนรู้สึกว่าธุรกิจเริ่มนิ่งแล้ว จึงเริ่มมองหาพื้นที่สำหรับขยายสาขาที่ 2 ซึ่งเปิดหลังสาขาแรกไป 1 ปี จากนั้นค่อยๆ ขยายแบรนด์มาเรื่อยๆ ซึ่งตอนนี้มี 7 แบรนด์ ได้แก่ MAGURO, SSAMTHING Together, Hitori Shabu, CouCou, Tonkatsu AOKI , BINCHO, KIWAMIYA

MAGURO ร้านอาหารญี่ปุ่นพันล้าน ทำธุรกิจกับเพื่อนไม่แย่เสมอ

มาตรฐานแบรนด์ต้องดีขึ้นกว่าเดิม 

ท่ามกลางตลาดอาหารญี่ปุ่นที่มีร้านอาหารญี่ปุ่นเกือบ 6,000 ล้าน จักกฤติบอกว่า ในยุคปัจจุบัน ทุกวันนี้ “อาหารอร่อย” อย่างเดียวไม่พออีกต่อไป สิ่งที่ลูกค้าต้องการคือ “ประสบการณ์ที่ครบ” ตั้งแต่ก้าวเข้าร้าน ธุรกิจร้านอาหารจึงต้องให้ความสำคัญกับทุกองค์ประกอบที่สร้างความประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารของแบรนด์ บรรยากาศในร้าน การบริการแบบ Human to Human ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกอบอุ่น การนำเสนออาหารที่สวยน่าถ่ายรูป รวมถึงความคุ้มค่าที่ลูกค้ารู้สึกได้ ต้องมีความเป็น First Mover ซึ่งตรงนี้ถือเป็นหัวใจหลักที่ทำให้คนจดจำเราได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด คือ “มาตรฐาน” ต้องยึดหลักว่า ทุกอย่างต้องดีเท่าเดิมอย่างน้อย หรือถ้าเป็นไปได้ ต้องดีขึ้นเสมอ

MAGURO ร้านอาหารญี่ปุ่นพันล้าน ทำธุรกิจกับเพื่อนไม่แย่เสมอ

เข้าตลาดฯ เป็นแค่บรรไดขั้นที่สอง สู่ความเป็นมืออาชีพ

จักกฤติ เล่าต่อว่า ธุรกิจอาหาร (F&B) ตลาดใหญ่มีมูลค่าสูงมาก Market Cap ของเราถือว่าเล็กมาก และเราไม่เคยมองว่าเราเป็นผู้เล่นรายใหญ่ การเข้าตลาดหลักทรัพย์เป็นแค่บันไดขั้นแรกหรือขั้นที่สองเท่านั้น แต่เป็นบันไดที่เปิดโอกาสให้เราสามารถเติบโตขึ้นไปได้อีก ทั้งในแง่ของความเป็นมืออาชีพ ความน่าเชื่อถือของบริษัท และการดึงดูดคนมีความสามารถเข้ามาสานเป้าหมาย

 

ทำธุรกิจด้วยแพสชั่น

เขาเล่าต่อว่า ในช่วงแรก ๆ เราไปญี่ปุ่นกันบ่อยมาก เพื่อไปดูงาน บางทีต้องเดินทางลำบาก เช่น ต้องนั่งเครื่องบินเล็กไปเกาะในญี่ปุ่น หรือออกเรือไปกลางทะเล แม้จะเหนื่อยมาก แต่เราคิดว่านี่คือจุดที่เราอาจได้เจอสิ่งที่เรียกว่า Secret หรือได้เข้าถึงสิ่งที่ร้านอื่น ๆ อาจมาไม่ถึง เราไปญี่ปุ่นปีละ 5-6 ครั้ง เพื่อศึกษาความคิด นิสัยใจคอ และวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่น เราซึมซับมาว่าคนญี่ปุ่นมีความเต็มที่กับทุกอย่างที่ทำ อุทิศทุกสิ่งเพื่อหน้าที่ และทำเกินกว่าที่เราคาดไว้เสมอ นำสิ่งนี้มาเป็นปรัชญาในการทำงานและสื่อสารให้พนักงาน แม้ตอนแรกวัฒนธรรมในองค์กรอาจไม่รู้สึกอินตาม แต่เมื่อครบ 10 ปี ผลลัพธ์ต่าง ๆ เหล่านี้เพิ่งเกิดผลจริงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพราะพนักงานเห็นว่าสิ่งที่พูดมาไม่ใช่คำพูดที่สวยหรูเกินไป แต่สร้างผลลัพธ์จริง

 

“สิ่งที่ผมให้น้ำหนักมากที่สุดคือเรื่องแพสชัน ถ้าเราหลงใหลและรักในสิ่งที่เราทำ เราจะมีพลังพิเศษ เมื่อเรามาทำในสิ่งที่ชอบและมี แพสชันเราจะอยากตื่นมาทำงานต่อ อยากพัฒนาต่อ เวลาเจออุปสรรคหรือปัญหา มันจะท้าทายเรา และเราจะรู้สึกอยากเอาชนะหรือแก้ไขปัญหานั้นให้ได้ แม้จะมีความเครียด แต่ก็ไม่ใช่ความเครียดจริง ๆ เพราะมันเป็นสิ่งที่เราชอบ”

 

ชอบทุกอย่างที่เป็นภาษาอาหาร

ผมว่าการที่ธุรกิจจะประสบความสำเร็จและชื่อติดหูผู้บริโภคอยู่ได้ทะลุกาลเวลา ต้องใช้ วินัยและความสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมาก เราต้องทำงานตลอดเวลา ต้องเหนื่อยตลอดเวลา และต้องบอกตัวเองว่า ห้ามผ่อน สิ่งที่จะช่วยให้เรารู้สึกอย่างนั้นได้คือ แรงบันดาลใจ ความมุ่งมั่น ทุ่มเท และแพสชัน แต่วินัยคืออันดับ 1 ตอนแรกเรามีแพสชันกับอาหารญี่ปุ่น แต่ตอนนี้มุมมองเราเปลี่ยนไปแล้ว

 

เราหลงใหลกับการ สร้างประสบการณ์ในร้านอาหาร ให้กับลูกค้า เรารู้สึกมีความสุขที่เห็นลูกค้า Enjoy กับอาหารและประสบการณ์ มีความสุขกลับไป ทีนี้เราคงไม่หยุดแค่ภาษาอาหารญี่ปุ่นแล้ว เราเริ่มชอบอาหารเกาหลี ชอบอาหารตะวันตก เราชอบทุกอย่างที่มันเป็น "ภาษาอาหาร"

 

ความสัมพันธ์ของเพื่อนคือ Priority อันดับแรก

จักกฤติก เล่าต่อว่า ในมุมของการทำธุรกิจร่วมกับเพื่อน เรามีมติร่วมกัน (mutual agreement) ตั้งแต่ก่อนเริ่มทำธุรกิจกันแล้วว่า ความสัมพันธ์ของเพื่อนคือ Priority เป็นอันดับแรก เราจะไม่มาทะเลาะกันเพราะการทำธุรกิจ ทุกคนยึดถือสิ่งนี้เป็นหลักคิด (mindset) ตั้งแต่แรก ระหว่างทางเมื่อมีความขัดแย้ง ไอเดียไม่ตรงกัน หรือมองต่างมุม เราก็จะมานึกถึงข้อตกลงร่วมกันนี้ ซึ่งทำให้มีสติว่าไม่ควรเอาความสัมพันธ์มาแลก 

 

“การทำธุรกิจกับเพื่อนไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป กลับกลายเป็น ข้อได้เปรียบและความแข็งแรงด้วยซ้ำ เพราะหากเทียบกับการเป็นหุ้นส่วนกับคนที่เราไม่รู้จัก หรือเพิ่งมาพบกัน เราจะไม่รู้พื้นฐานความคิดหรือนิสัยใจคอ ซึ่งอาจมีความเสี่ยงมากกว่าที่จะคุยกันไม่รู้เรื่อง แต่กับเพื่อนยังมีความคุ้นเคยกันมาตั้งแต่ก่อน”

 

ไม่พึ่งพาแค่แบรนด์เดียว

จักกฤติมองว่า ยุคนี้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วมาก สิ่งที่เวิร์คเมื่อปีที่แล้ว ปีนี้อาจกลายเป็นศูนย์ได้ ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคก็เปลี่ยนเร็วมากเช่นกัน เราจึงต้องห้ามประมาท นั่นคือสาเหตุที่เราใช้กลยุทธ์ Multi-brand Portfolio (ปัจจุบัน 7 แบรนด์) ซึ่งเป็นการ เปิดตลาดใหม่อยู่เรื่อยๆ เพื่อลดความเสี่ยงของการพึ่งพิงแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งมากเกินไป เราพยายามหา S Curve ใหม่ ๆ ออกมาทุกปี จะขยายไปในตลาดใหม่ ๆ มากขึ้น จะพยายามสร้างสรรค์แบรนด์ใหม่ ๆ ออกมาเรื่อย ๆ 

 

"เราแข่งกับตัวเอง มากกว่า เราแข่งกับตัวเราเองเมื่อปีที่แล้ว เป้าหมายคือต้องโตขึ้นทุกปี เราอาจจะเอาคนอื่นมาเป็นแรงบันดาลใจ แต่เราจะไม่เอามาเป็นแรงกดดันว่าเราต้องไปใหญ่เท่าคนนั้นหรือแซงคนนี้" เขากล่าวทิ้งท้าย 

 

ข่าวล่าสุด

งานเข้า! EU สอบสวน Google ข้อหาผูกขาดเนื้อหาให้กับ AI ของบริษัท