สภาอุตฯ ชี้ 6 จุดอ่อน พาไทยติดหล่ม จี้รัฐปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ
สภาอุตสาหกรรม ชี้ "เศรษฐกิจไทยเหมือนรถติดหล่ม" มา 10 ปี GDP ต่ำ ตกมาอยู่อันดับ 6 อาเซียน จี้รัฐบาลเร่งแก้ 6 จุดอ่อน ปรับปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจ
เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) วิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศไทย ภายในงาน Thailand Economic Outlook 2026 จัดโดย กรุงเทพธุรกิจ
โดยระบุว่า เศรษฐกิจไทยประสบภาวะ "รถติดหล่ม" ซึ่งเป็นอาการที่เกิดขึ้นมานานกว่า 10 ปี จึงจำเป็นเร่งด่วนในการปรับโครงสร้างทั้งระดับประเทศและภาคอุตสาหกรรม
ภาวะเศรษฐกิจซบเซาและวิกฤตความสามารถในการแข่งขัน
เกรียงไกร กล่าวว่า ประเทศไทยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย GDP ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเพียงประมาณ 2% ซึ่งถือว่าต่ำ โดยคาดการณ์ GDP ไตรมาสที่ 3 จะเหลือประมาณ 1.7% และไตรมาสสุดท้ายจะอยู่ที่ 0.3% จากไตรมาสแรก 3.2% ประเทศไทยตกลงมาอยู่ในอันดับที่ 6 ในกลุ่มประเทศอาเซียน จากที่เคยเป็นดาวรุ่งอยู่ระดับ 3 หรือ 4 ในขณะที่ประเทศอย่างเวียดนามคาดว่าจะเติบโตสูงถึง 8% กว่าหรือราว ๆ 8.23% จากไตรมาส 3 ที่ 7%
6 กับดัก เชิงโครงสร้าง
ปัญหาสำคัญที่ทำให้ประเทศติดกับดักรายได้ปานกลางและเศรษฐกิจซบเซา มาจากปัญหาเชิงโครงสร้าง ได้แก่
1.สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ มีผู้สูงอายุเกิน 60 ปีประมาณ 14 ล้านคน หรือคิดเป็น 21% ของประชากรทั้งหมด ขณะที่อัตราเด็กเกิดใหม่ต่ำกว่าผู้เสียชีวิต ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงาน
2.กฎหมายและทุจริต ประเทศไทยมีกฎหมายกว่าแสนฉบับ แต่ไม่เป็นคุณ มีแต่อุปสรรค พอจะทำอะไรก็ยาก นำไปสู่การทุจริตคอร์รัปชัน และต้นทุนแฝง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา กับดัก OEM: อุตสาหกรรมไทยส่วนใหญ่ยังติดอยู่ในสถานะ
3.เรายังก้าวไม่พ้นการเป็นผู้รับจ้างผลิต (OEM) ทำให้ส่วนแบ่งรายได้แคบลง ซึ่งโมเดลนี้ไม่สามารถทำให้ประเทศก้าวสู่การเป็นประเทศที่มีรายได้สูงได้ เนื่องจากมูลค่าเพิ่มต่ำ
4.หนี้ภาคครัวเรือนสูง หนี้ภาคครัวเรือนอยู่ในระดับสูงมาก (ประมาณ 87-88% ต่อ GDP และสูงถึง 104% หากรวมหนี้นอกระบบ) ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้กำลังซื้อของประชาชนหายไป
5.ปัญหาภาคการเกษตร โดยจำนวนคน 1 ใน 3 ของประเทศอยู่ในภาคการเกษตร แต่สามารถสร้างรายได้ให้ประเทศเพียงประมาณ 7-8% เท่านั้น
6.ปัญหางบประมาณไม่สมดุล เนื่องจากมีฐานผู้เสียภาษีเพียง 4 ล้านคน แต่ต้องดูแลคนกว่า 60 ล้านคน ไม่ใช่แค่นั้นระบบการศึกษา ที่ต้องปฏิรูปเพื่อให้หลักสูตรสอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมในอนาคต
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องผลกระทบจาก ค่าเงินบาทแข็งค่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ซึ่งเคยแข็งสูงสุด 7% กว่า และปัจจุบันเหลือประมาณ 5% กว่า ตั้งแต่ต้นปี ส่งผลกระทบต่อการส่งออก (60% ของ GDP) และภาคการท่องเที่ยว โดยคาดการณ์ว่ารายได้ที่สูญเสียไปจากการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าอยู่ที่ประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท
ผลกระทบจากสงครามการค้า (Trade War) สินค้าจากประเทศจีนที่เคยส่งไปยังสหรัฐฯ ไหลท่วมเข้ามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างหนักที่สุดใน South East Asiaทำให้ SME ของไทยจำนวนมากต้องปิดกิจการ เพราะสู้ไม่ได้
การปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมก้าวออกจาก OEM
เกรียงไกร กล่าวต่อว่า อุตสาหกรรมไทยส่วนใหญ่ ซึ่งมีอยู่ 47 อุตสาหกรรม ที่เป็นอุตสาหกรรมดั้งเดิม ยกเว้นอุตสาหกรรมใหม่ล่าสุด อุตสาหกรรมที่ 48 กลุ่มอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ ที่ได้รับผลกระทบจาก Digital Disruption และการตกเทรนด์ ภาคอุตสาหกรรมจึงต้องเปลี่ยนจากการใช้แรงงานจำนวนมากไปสู่การใช้เครื่องทุ่นแรง เช่น Automation และ Robot และต้องเปลี่ยนจาก OEM ไปสู่ ODM (การร่วมออกแบบ) หรือ OBM (การสร้างแบรนด์ของตนเอง) เพื่อเพิ่มมูลค่า
อย่างไรก็ตาม เกรียงไกร กล่าวว่า การขับเคลื่อนนี้อยู่ภายใต้กลยุทธ์ 4 Go ได้แก่Go 1.Digital & AI เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดความสูญเสีย 2.Go Innovation (นวัตกรรม) เน้นการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมที่ "ทำน้อยแต่ได้มาก" โดยการสร้างนวัตกรรม 3.Go Global ต้องหาตลาดใหม่สำหรับการส่งออก เพื่อลดการพึ่งพาตลาดเดิม ซึ่งปัจจุบันพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ถึง 18.4% ของการส่งออกทั้งหมด และเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานโลกในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ 4.Go Green (ความยั่งยืน) เร่งรัดแผนงานสู่ Net Zero โดยขยับเป้าหมายให้เร็วขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของลูกค้าในประเทศใหญ่ ๆ เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เกาหลี และสหภาพยุโรป
นอกจากนี้ ภาคอุตสาหกรรมยังมุ่งเน้นการพัฒนา Next Generation Industry โดยใช้จุดแข็งด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) และความเป็นประเทศเกษตรกรรม ผ่าน Bio Tech, Biobase, Agribase Industry และ BCG
เสนอ 6 แนวทางถึงภาครัฐ ปลดล็อกประเทศ
เพื่อให้การปรับตัวประสบความสำเร็จ ภาครัฐต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ต้องสร้าง Ecosystem และให้การสนับสนุนผ่านข้อเสนอ 6 ข้อดังนี้
- ความชัดเจนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต รัฐบาลต้องกำหนดทิศทางที่ชัดเจนว่าจะไปในทิศทางใด
- การแก้ไขกฎหมาย ต้องแก้ไขกฎหมายให้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น ลดต้นทุนแฝง และลดการทุจริตคอร์รัปชัน
- ส่งเสริม Local Content (Made in Thailand) เน้นการส่งเสริมการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศ เพื่อไม่ให้โรงงานไทยกลายเป็นเพียงแผนกขาย โดยเสนอให้รัฐบาลจัดซื้อจัดจ้างสินค้า Made in Thailand เป็นหลัก และขอให้พิจารณาการให้ สิทธิลดหย่อนภาษี 2 เท่า สำหรับบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ที่จัดซื้อสินค้า Made in Thailand ที่มีใบรับรอง
- ข้อตกลงการค้าและการลงทุนขั้นพื้นฐาน เจรจาข้อตกลงทางการค้า และจัดการปัญหาการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้ง
- การพัฒนาบุคลากร ปฏิรูประบบการศึกษา การ Up-skill/Reskill และการกำหนดหลักสูตรที่ชัดเจน เพื่อผลิตบุคลากรที่เพียงพอสำหรับภาคอุตสาหกรรมและบริการในอนาคต
- ความยืดหยุ่นและความยั่งยืน (Sustainity) ภาคอุตสาหกรรมเองต้องปรับตัวภายใต้ CSR โดยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ความยืดหยุ่น และการเติบโตแบบยั่งยืน (Sustainity)


