posttoday

สภาอุตฯ ชี้ 6 จุดอ่อน พาไทยติดหล่ม จี้รัฐปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ

09 ตุลาคม 2568

สภาอุตสาหกรรม ชี้ "เศรษฐกิจไทยเหมือนรถติดหล่ม" มา 10 ปี GDP ต่ำ ตกมาอยู่อันดับ 6 อาเซียน จี้รัฐบาลเร่งแก้ 6 จุดอ่อน ปรับปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจ

เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) วิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศไทย ภายในงาน Thailand Economic Outlook 2026 จัดโดย กรุงเทพธุรกิจ 

 

โดยระบุว่า เศรษฐกิจไทยประสบภาวะ "รถติดหล่ม" ซึ่งเป็นอาการที่เกิดขึ้นมานานกว่า 10 ปี จึงจำเป็นเร่งด่วนในการปรับโครงสร้างทั้งระดับประเทศและภาคอุตสาหกรรม

 

ภาวะเศรษฐกิจซบเซาและวิกฤตความสามารถในการแข่งขัน

 

เกรียงไกร กล่าวว่า ประเทศไทยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย GDP ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเพียงประมาณ 2% ซึ่งถือว่าต่ำ โดยคาดการณ์ GDP ไตรมาสที่ 3 จะเหลือประมาณ 1.7% และไตรมาสสุดท้ายจะอยู่ที่ 0.3% จากไตรมาสแรก 3.2% ประเทศไทยตกลงมาอยู่ในอันดับที่ 6 ในกลุ่มประเทศอาเซียน จากที่เคยเป็นดาวรุ่งอยู่ระดับ 3 หรือ 4 ในขณะที่ประเทศอย่างเวียดนามคาดว่าจะเติบโตสูงถึง 8% กว่าหรือราว ๆ 8.23% จากไตรมาส 3 ที่ 7%

สภาอุตฯ ชี้ 6 จุดอ่อน พาไทยติดหล่ม จี้รัฐปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ

6 กับดัก เชิงโครงสร้าง

 

ปัญหาสำคัญที่ทำให้ประเทศติดกับดักรายได้ปานกลางและเศรษฐกิจซบเซา มาจากปัญหาเชิงโครงสร้าง ได้แก่ 

 

1.สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ มีผู้สูงอายุเกิน 60 ปีประมาณ 14 ล้านคน หรือคิดเป็น 21% ของประชากรทั้งหมด ขณะที่อัตราเด็กเกิดใหม่ต่ำกว่าผู้เสียชีวิต ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงาน

 

2.กฎหมายและทุจริต ประเทศไทยมีกฎหมายกว่าแสนฉบับ แต่ไม่เป็นคุณ มีแต่อุปสรรค พอจะทำอะไรก็ยาก นำไปสู่การทุจริตคอร์รัปชัน และต้นทุนแฝง  ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา กับดัก OEM: อุตสาหกรรมไทยส่วนใหญ่ยังติดอยู่ในสถานะ 

 

3.เรายังก้าวไม่พ้นการเป็นผู้รับจ้างผลิต (OEM) ทำให้ส่วนแบ่งรายได้แคบลง ซึ่งโมเดลนี้ไม่สามารถทำให้ประเทศก้าวสู่การเป็นประเทศที่มีรายได้สูงได้ เนื่องจากมูลค่าเพิ่มต่ำ

 

4.หนี้ภาคครัวเรือนสูง หนี้ภาคครัวเรือนอยู่ในระดับสูงมาก (ประมาณ 87-88% ต่อ GDP และสูงถึง 104% หากรวมหนี้นอกระบบ) ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้กำลังซื้อของประชาชนหายไป

 

5.ปัญหาภาคการเกษตร โดยจำนวนคน 1 ใน 3 ของประเทศอยู่ในภาคการเกษตร แต่สามารถสร้างรายได้ให้ประเทศเพียงประมาณ 7-8% เท่านั้น 

 

6.ปัญหางบประมาณไม่สมดุล เนื่องจากมีฐานผู้เสียภาษีเพียง 4 ล้านคน แต่ต้องดูแลคนกว่า 60 ล้านคน  ไม่ใช่แค่นั้นระบบการศึกษา ที่ต้องปฏิรูปเพื่อให้หลักสูตรสอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมในอนาคต

 

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องผลกระทบจาก ค่าเงินบาทแข็งค่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ซึ่งเคยแข็งสูงสุด 7% กว่า และปัจจุบันเหลือประมาณ 5% กว่า ตั้งแต่ต้นปี ส่งผลกระทบต่อการส่งออก (60% ของ GDP) และภาคการท่องเที่ยว โดยคาดการณ์ว่ารายได้ที่สูญเสียไปจากการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าอยู่ที่ประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท

 

ผลกระทบจากสงครามการค้า (Trade War) สินค้าจากประเทศจีนที่เคยส่งไปยังสหรัฐฯ ไหลท่วมเข้ามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างหนักที่สุดใน South East Asiaทำให้ SME ของไทยจำนวนมากต้องปิดกิจการ เพราะสู้ไม่ได้

 

สภาอุตฯ ชี้ 6 จุดอ่อน พาไทยติดหล่ม จี้รัฐปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ

 

การปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมก้าวออกจาก OEM

 

เกรียงไกร กล่าวต่อว่า อุตสาหกรรมไทยส่วนใหญ่ ซึ่งมีอยู่ 47 อุตสาหกรรม ที่เป็นอุตสาหกรรมดั้งเดิม ยกเว้นอุตสาหกรรมใหม่ล่าสุด อุตสาหกรรมที่ 48 กลุ่มอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ ที่ได้รับผลกระทบจาก Digital Disruption และการตกเทรนด์ ภาคอุตสาหกรรมจึงต้องเปลี่ยนจากการใช้แรงงานจำนวนมากไปสู่การใช้เครื่องทุ่นแรง เช่น Automation และ Robot และต้องเปลี่ยนจาก OEM ไปสู่ ODM (การร่วมออกแบบ) หรือ OBM (การสร้างแบรนด์ของตนเอง) เพื่อเพิ่มมูลค่า

 

อย่างไรก็ตาม เกรียงไกร กล่าวว่า การขับเคลื่อนนี้อยู่ภายใต้กลยุทธ์ 4 Go ได้แก่Go 1.Digital & AI เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดความสูญเสีย 2.Go Innovation (นวัตกรรม) เน้นการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมที่ "ทำน้อยแต่ได้มาก" โดยการสร้างนวัตกรรม 3.Go Global ต้องหาตลาดใหม่สำหรับการส่งออก เพื่อลดการพึ่งพาตลาดเดิม ซึ่งปัจจุบันพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ถึง 18.4% ของการส่งออกทั้งหมด และเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานโลกในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ 4.Go Green (ความยั่งยืน) เร่งรัดแผนงานสู่ Net Zero โดยขยับเป้าหมายให้เร็วขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของลูกค้าในประเทศใหญ่ ๆ เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เกาหลี และสหภาพยุโรป

 

นอกจากนี้ ภาคอุตสาหกรรมยังมุ่งเน้นการพัฒนา Next Generation Industry โดยใช้จุดแข็งด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) และความเป็นประเทศเกษตรกรรม ผ่าน Bio Tech, Biobase, Agribase Industry และ BCG

 

เสนอ 6 แนวทางถึงภาครัฐ ปลดล็อกประเทศ

 

เพื่อให้การปรับตัวประสบความสำเร็จ ภาครัฐต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ต้องสร้าง Ecosystem และให้การสนับสนุนผ่านข้อเสนอ 6 ข้อดังนี้

  1. ความชัดเจนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต รัฐบาลต้องกำหนดทิศทางที่ชัดเจนว่าจะไปในทิศทางใด
  2. การแก้ไขกฎหมาย ต้องแก้ไขกฎหมายให้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น ลดต้นทุนแฝง และลดการทุจริตคอร์รัปชัน
  3. ส่งเสริม Local Content (Made in Thailand) เน้นการส่งเสริมการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศ เพื่อไม่ให้โรงงานไทยกลายเป็นเพียงแผนกขาย โดยเสนอให้รัฐบาลจัดซื้อจัดจ้างสินค้า Made in Thailand เป็นหลัก และขอให้พิจารณาการให้ สิทธิลดหย่อนภาษี 2 เท่า สำหรับบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ที่จัดซื้อสินค้า Made in Thailand ที่มีใบรับรอง
  4. ข้อตกลงการค้าและการลงทุนขั้นพื้นฐาน เจรจาข้อตกลงทางการค้า และจัดการปัญหาการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้ง
  5. การพัฒนาบุคลากร ปฏิรูประบบการศึกษา การ Up-skill/Reskill และการกำหนดหลักสูตรที่ชัดเจน เพื่อผลิตบุคลากรที่เพียงพอสำหรับภาคอุตสาหกรรมและบริการในอนาคต
  6. ความยืดหยุ่นและความยั่งยืน (Sustainity) ภาคอุตสาหกรรมเองต้องปรับตัวภายใต้ CSR โดยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ความยืดหยุ่น และการเติบโตแบบยั่งยืน (Sustainity)

 

ข่าวล่าสุด

MIXUE ไทยบริจาค 1 ล้านบาท เร่งช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้