สบายใจได้ คลังยัน "ไม่เก็บภาษีย้อนหลัง" หลังร้านค้า เข้าร่วมโครงการ คนละครึ่ง พลัส
เอกนิติ รมว.คลัง คลายกังวล ร้านค้าเข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” จะไม่โดนเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง พร้อมออกมาตรการดูแลกลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน-ไร้บัตรสวัสดิการ
KEY
POINTS
- กระทรวงการคลังยืนยันว่าร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ "คนละครึ่ง พลัส" จะไม่ถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง
- เป้าหมายของรัฐบาลคือการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการร้านค้าเข้าสู่ระบบภาษีอย่างถูกต้องในอนาคต ไม่ใช่การตรวจสอบย้อนหลัง
- นโยบายดังกล่าวเป็นไปเพื่อสร้างความมั่นใจและลดความกังวลให้ร้านค้ากล้าเข้าร่วมโครงการของรัฐ
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กระทรวงการคลัง ได้ออกมาชี้แจงรายละเอียดโครงการ "คนละครึ่ง พลัส" พร้อมให้ความมั่นใจต่อร้านค้าขนาดเล็กที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการเก็บภาษี ว่า ร้านค้าไม่ต้องกังวลเรื่องการถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง เนื่องจากเป็นนโยบายที่ชัดเจนจากท่านนายกรัฐมนตรี เป้าหมายของรัฐบาล คือการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ภาษีเป็นสิ่งสำคัญต่อประเทศ และต้องการให้ร้านค้าเริ่มทำบัญชีแบบถูกต้องและง่ายๆ เพื่อความยั่งยืนในระยะยาว
"เรื่องการเก็บภาษี ขอให้สบายใจได้ ไม่ต้องกังวลว่ารัฐบาลจะไปตามเก็บภาษีย้อนหลัง แต่อยากให้ทำความเข้าใจว่าเรื่องระบบภาษีต้องเดินไปข้างหน้า อยากทำให้เป็นระบบอย่างถูกต้องแบบง่ายๆ เพื่อให้ประเทศไทยในระยะยาวจะได้มีความยั่งยืน ถ้าเข้าระบบภาษีเขาจะได้เงินมากขึ้น เช่น ได้เงินอุดหนุนจากโครงการคนละครึ่งของรัฐบาล " นายเอกนิติ กล่าว
นอกจากนี้ ย้ำว่า โครงการดังกล่าวยังมี "พลัส" ในมิติของระบบภาษี เพื่อเป็นแรงจูงใจ คือ
บุคคลทั่วไป ที่ไม่ได้อยู่ในระบบภาษี จำนวน 11 ล้านคน จะได้รับสิทธิ์สมทบจากรัฐบาลรวมคนละ 2,000 บาท รัฐจ่าย 50% ประชาชนจ่าย 50% ,ผู้ที่อยู่ในระบบภาษี จำนวน 9 ล้านคน จะได้รับเงินสมทบจากรัฐบาลเพิ่มขึ้นเป็น 60% (จากเดิม 50%) และจะได้รับเงินรวม 2,400 บาทโดยรัฐช่วยจ่าย 60% และประชาชนจ่าย 40%
นอกจากนี้การให้สิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกันนี้ เพื่อสะท้อนให้ Rating Agency เห็นว่า รัฐบาลไทย คำนึงถึงวินัยทางการคลัง และเพื่อให้ผู้เสียภาษีรู้สึกว่าตนเองได้รับประโยชน์จากการเสียภาษี
จำนวนสิทธิ์รวมของโครงการทั้งหมดคือ 33.4 ล้านคน คือกว่า 20 ล้านสิทธิ์ของคนละครึ่งพลัส รวมกับ 13.4 ล้านคนของบัตรสวัสดิการ ซึ่งถือว่าครอบคลุมประชากรเกินครึ่งหนึ่งของประเทศ อย่างไรก็ตาม ในการออกแบบโครงการคนละครึ่งพลัส ได้มีการคำนึงถึงประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟน และบัตรสวัสดิการประชาชน โดยรัฐบาลจะมีสวัสิการอื่นๆมาช่วยเหลือทดแทน
"คนตกค้าง ไม่มีทั้งสมาร์ทโฟน และบัตรสวัสดิการฯ ปกติคลังจะมีการทบทวนอยู่เรื่อยๆอยู่แล้ว คนที่อยู่นอกกระบบไม่มีอะไรเลย คงให้สวัสดิการในส่วนอื่นๆแทน จะเห็นว่ารัฐบาลมีนโยบายลดหนี้สินภาคประชาชน โดยจะนำเงินจากกองทุนฟื้นฟูระบบสถาบันการเงิน (FIDF) เหลืออยู่ นำเอาเงินนี้ซื้อหนี้ออกมาจากระบบแบงก์ จะทำให้บริหารจัดการยอดหนี้ได้มากขึ้น มีสินเชื่อสำหรับคนตัวเล็ก คือ สินเชื่ออารีย์สกอร์ เพื่อให้เขามีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อมากขึ้น ขณะที่เรื่องการออม เข้าใจวัฒนธรรมการซื้อหวย เรามีแนวคิดฉลากเพื่อการออม" นายเอกนิติกล่าว
สำหรับงบประมาณ "คนละครึ่งพลัส" ใช้งบเดิมประมาณ รวม 44,000 ล้านบาท จากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ ปีงบประมาณ 2569 วงเงิน 2.5 หมื่นล้านบาท และงบกลาง 1.9 หมื่นล้านบาท
ส่วน ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ เน้นร้านขนาดเล็ก เช่น แม่ค้าหมูปิ้ง ,พ่อค้าส้มตำ ยกเว้นร้านใหญ่-บริษัท แต่เปิดให้ SME ขนาดเล็ก และ นิติบุคคลในระบบภาษี เข้าร่วมได้ ขณะที่คุณสมบัติประชาชน ลดอายุผู้มีสิทธิ์จาก 18 ปี เหลือ 16 ปี เพื่อให้นักเรียนนักศึกษาระดับอุดมศึกษาสามารถใช้สิทธิ์ได้
วันเริ่มต้นลงทะเบียน
-ร้านค้า 15 ต.ค. 2568 (ร้านค้าเดิม ใช้ระบบเดิมได้ ส่วนร้านค้าใหม่ สมัครเพิ่มเติมได้) ครอบคลุมบริการ ร้านอาหาร/เครื่องดื่ม, ร้านทั่วไป, สปา/นวด/ทำผม, ขนส่งสาธารณะ เป็นต้าน
-ประชาชน 20–26 ต.ค.2568 (ผ่านแอปพลิเคชั่น "เป๋าตัง")
เริ่มใช้สิทธิ์ 29 ต.ค. – 31 ธ.ค.2568


