วรภัค ชี้ฐานะการคลังไทยเสี่ยงพุ่ง 7.6 พื้นที่หายใจจำกัด แนะปฏิรูปจ่าย-ภาษีเชิงรุก
วรภัค ธันยาวงษ์ รมช.คลังชี้ ฐานะการคลังไทยหลังโควิด-19 อยู่ในจุดที่ท้าทาย ความเสี่ยงพุ่ง 7.6/10 หนี้สาธารณะจ่อ 65% GDP ปี 68 ชี้จำเป็นต้องปฏิรูปรายรับรายจ่ายเชิงรุก ก่อนเสถียรภาพระยะยาวทรุด
KEY
POINTS
- นายวรภัค ธันยาวงษ์ ชี้ว่าความเสี่ยงทางการคลังของไทยพุ่งสูงขึ้นเป็น 7.6 จาก 10 (จากเดิม 4.3) ทำให้พื้นที่ทางการคลังในการดำเนินนโยบายมีจำกัดอย่างยิ่ง
- ปัจจัยเสี่ยงสำคัญมาจากหนี้สาธารณะที่ใกล้ชนเพดาน โครงสร้างรายได้ที่อ่อนแอจากการจัดเก็บภาษีได้ต่ำ และภาระรายจ่ายภาครัฐที่ขยายตัวต่อเนื่อง
- ข้อเสนอแนะคือการปฏิรูปเชิงรุกทั้งด้านรายจ่าย โดยจำกัดการเติบโตของเงินเดือนและบำนาญ และด้านรายได้ โดยการปฏิรูปโครงสร้างภาษีและขยายฐานภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลชุดใหม่ ประเด็นด้านเสถียรภาพทางการคลังของประเทศไทยกำลังถูกจับตาอย่างใกล้ชิด โดยล่าสุด นายวรภัค ธันยาวงษ์ รมช.คลัง ได้โพสต์ข้อความผ่าน Facebook Vorapak Tanyawong เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเผชิญหน้ากับ "ความจริง" ของสถานะการคลังที่เป็น baseline อันซับซ้อนและเต็มไปด้วยแรงกดดันเชิงโครงสร้าง หลังวิกฤต COVID-19
นายวรภัค ระบุว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญโจทย์การคลังและเศรษฐกิจที่ซับซ้อนกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากวิกฤตโควิด-19 ทำให้โครงสร้างหนี้ รายได้ และรายจ่ายภาครัฐมีความเปราะบางอย่างยิ่ง โดยภาพรวมความเสี่ยงทางการคลังถูกประเมินไว้สูงถึง 7.6 จาก 10 ซึ่งก่อนโควิดอยู่ที่เพียง 4.3 เท่านั้น
ความท้าทาย 4 ด้านที่กดดันพื้นที่การคลัง
1. หนี้สาธารณะใกล้เพดาน: นายวรภัคชี้ว่า หนี้สาธารณะจะขยับขึ้นไปแตะที่ระดับประมาณ 65% ต่อ GDP ในปี 2568 และภาระดอกเบี้ยอาจเกิน 10% ของรายได้รัฐบาล แม้จะยังไม่ทะลุเพดาน 70% แต่ก็กำลังเข้าใกล้ “กันชนสุดท้าย” ที่ IMF ประเมินไว้ที่ 77–87% และเตือนว่า หากเศรษฐกิจชะลอตัวพร้อมกับดอกเบี้ยโลกสูงต่อเนื่อง อัตราส่วนหนี้อาจทะลุกรอบเร็วกว่าคาด และอาจถูกตลาดการเงินลดความเชื่อมั่น
2. โครงสร้างรายได้ที่อ่อนแอ: สัดส่วนรายได้รัฐบาลต่อ GDP ของไทยนั้นต่ำกว่ามาตรฐานโลกอยู่ราว 3% โดยมีจุดอ่อนสำคัญคือ แรงงานนอกระบบมีสัดส่วนเกินกว่า 50%, ยังไม่มี Capital Gain Tax, ภาษีทรัพย์สินและมรดกอยู่ในระดับต่ำ, และ VAT ยังคงต่ำที่ 7% (ในขณะที่ประเทศรอบบ้านอยู่ที่ 12 ถึง 15%) หากไม่สามารถปฏิรูปภาษีได้จริง เสถียรภาพหนี้อาจจะทรุดลงเรื่อยๆ
3. รายจ่ายภาครัฐขยายตัว: ภาระรายจ่ายขยายตัวต่อเนื่องจากค่าใช้จ่ายบุคลากรและบำนาญที่เพิ่มขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลข้าราชการ โดยเฉพาะ OPD ที่พุ่งสูงอย่างไม่หยุดยั้ง นอกจากนี้ กองทุนชราภาพยังเสี่ยงต่อความไม่ยั่งยืน
4. กับดักเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ-สังคม: รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังกล่าวเสริมว่า ไทยกำลังเผชิญกับโครงสร้างที่เป็นอุปสรรค อาทิ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ, หนี้ครัวเรือนสูงถึง 90% ต่อ GDP ทำให้การบริโภคชะลอตัวและ VAT อ่อนแรง, ความเหลื่อมล้ำสูงที่ 1% ถือครองรายได้ 23% ทำให้การปฏิรูปภาษีเผชิญแรงต้าน, และความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์และ Climate risk ที่จะกระแทกงบประมาณทันที
สำหรับทางออก นายวรภัคเสนอแนะว่า การปรับสมดุลการคลังต้องดำเนินการอย่าง “ครบวงจร” โดยมาตรการสำคัญประกอบด้วย
• ด้านรายจ่าย จำกัดการเติบโตของเงินเดือน บำนาญ และสวัสดิการ รวมถึงปฏิรูปกองทุนเกษียณ
• ด้านรายได้ ปฏิรูปภาษีบุคคลและทุน, ขยาย VAT อย่างเหมาะสม, จัดเก็บภาษีคาร์บอน, และเพิ่มรายได้จากทรัพย์สินของรัฐ
• ด้านกฎหมาย การใช้หลักการ PAYGO (Pay As You Go), กำหนดนิยามรายจ่ายลงทุนให้ชัดเจน, และการกลับสู่กรอบขาดดุล 3% ของ GDP เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว
" รัฐบาลใหม่ไม่ได้เริ่มต้นจาก "กระดาษขาว" แต่กำลังถูกบีบให้ fiscal space แคบลงเรื่อย ๆ หากไม่มีการปฏิรูปเชิงรุก Baseline วันนี้จะกลายเป็นกับดักที่กัดกร่อนเสถียรภาพการคลังและเศรษฐกิจไทยในระยะยาว โจทย์ใหญ่จึงไม่ใช่แค่การ “เลือกใช้นโยบาย” แต่คือการ “เลือกจะเผชิญความจริง”


