posttoday

"TDRI" ชี้ "คนละครึ่ง 60:40" ประสิทธิภาพกระตุ้นเศรษฐกิจต่ำกว่า"สูตรเดิม50:50"

12 กันยายน 2568

นักวิชาการ ประเมินสูตรใหม่คนละครึ่ง 60:40 ลดประสิทธิภาพโครงการลงราว 15% เมื่อเทียบกับสูตรเดิม ที่กระตุ้นเศรษฐกิจไทย ชี้อาจไม่ตอบโจทย์จูงใจคนเข้าสู่ระบบภาษี แนะไม่ควรดึงความเหลื่อมล้ำมาเป็นประเด็น

KEY

POINTS

  • TDRI ชี้ว่าโครงการคนละครึ่งสูตรใหม่ 60:40 (รัฐจ่าย 60%) มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจต่ำกว่าสูตรเดิม 50:50 โดยมีตัวคูณทางการคลังลดลงจาก 2.0 เท่า เหลือ 1.67 เท่า
  • แนวคิดการปรับสูตรใหม่นี้มีเป้าหมายเพื่อมอบสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ที่ยื่นเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ยื่นเสียภาษี ซึ่งยังคงได้รับสิทธิ์ในอัตราส่วน 50:50 เท่าเดิม
  • นักวิชาการมองว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีนี้มีประสิทธิภาพลดลง และเสนอว่ารัฐบาลควรนำงบประมาณไปใช้แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาว เช่น การศึกษา หรือการพัฒนาทักษะแรงงาน เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนกว่า

ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญภาวะชะลอตัว ขณะที่รัฐบาลปัจจุบันมี "ข้อจำกัดด้านอายุ" ของการบริหารงาน การใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นจึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่รัฐบาลเลือกใช้เพื่อแสดงผลงานอย่างเร่งด่วน หนึ่งในมาตรการที่ถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้ง คือโครงการ “คนละครึ่ง” ที่มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศแบบทันที

 

รัฐบาลป้ายแดงของ "นายอนุทิน" จึงมีแนวคิดจะปรับสูตรของโครงการคนละครึ่งใหม่ (50:50) คือจากอัตราเดิมรัฐจ่าย 50 บาท ประชาชนจ่าย 50 บาท ปรับเพิ่มรูป (60:40) โดยรัฐจ่าย 60 บาท ประชาชนจ่าย 40 บาทสำหรับผู้ที่ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ขณะที่ประชาชนที่รายได้ไม่ถึงเกณฑ์ยื่นภาษีหรือไม่ได้เสียภาษีเงินได้ ยังคงได้รับสิทธิ์อุดหนุนในอัตราเดิม คือ รัฐจ่าย 50 บาท ประชาชาชนจ่าย 50 บาทเหมือนเดิม 

ซึ่ง แนวทางนี้ถูกมองว่าเป็นการ "ให้รางวัลกับผู้เสียภาษี" แต่ก็สร้างอาจข้อกังวลในแง่ "ประสิทธิภาพของงบประมาณ" และ "ความเป็นธรรมของนโยบาย" 

 

ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ให้สัมภาษณ์กับ สำนักข่าวโพสต์ทูเดย์ ว่า ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการปรับสูตรคนละครึ่งให้เป็น 60:40 แม้จะมีข้อดีในแง่การให้รางวัลกับผู้เสียภาษีให้ได้รับประโยชน์มากกว่าผู้ไม่เสียภาษี แต่ประสิทธิภาพของโครงการจะลดลงมากจากที่รัฐจ่าย 50 บาท ผู้ที่เข้าร่วมโครงการต้องจ่าย 50 บาท ทำให้เงินของภาครัฐ 50 บาทก่อให้เกิดผล 2.00 เท่าของงบประมาณที่ใช้ กลายเป็นรัฐจ่าย 60 บาท ผู้เข้าร่วมโครงการจ่าย 40 บาท จึงเกิดผลแค่ 100/60 = 1.67 เท่า ทั้งๆ ที่ผู้ที่เสียภาษีมีความสามารถในการร่วมจ่ายมากกว่าคนที่ไม่เสียภาษี เช่น ในโครงการคนละครึ่งเฟสก่อนๆ ก็พบปัญหาว่า มีบางคนที่เข้าร่วมโครงการแต่ใช้สิทธิไม่เต็มทั้งหมด

 

"สูตรใหม่จะทำให้ประสิทธิภาพของโครงการน้อยลง ถ้าเทียบจากหลักคำนวณข้างต้น คาดว่าสามารถในการกระตุ้นเศรษฐกิจลดลงประมาณ 15% หากเทียบความสามารถในการกระตุ้นเศรษฐกิจจากโครงการคนละครึ่งเดิม ที่สามารถในการกระตุ้นเศรษฐกิจประมาณ 1.2-1.8 เท่าของงบประมาณ ขณะที่สูตรใหม่ คาดว่าจะทำได้เพียง 1.0–1.5 เท่า คือมีประสิทธิภาพลดลง แต่ยังคงมีค่าตัวคูณมากกว่า 1 ซึ่งถือว่าเป็นนโยบายที่เกิดผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่" ดร.นณริฏ กล่าว

"TDRI" ชี้ "คนละครึ่ง 60:40" ประสิทธิภาพกระตุ้นเศรษฐกิจต่ำกว่า"สูตรเดิม50:50"

ส่วน ที่รัฐบาลระบุว่า การปรับสูตร 60:40 จะช่วยจูงใจคนเสียภาษีนั้น มองว่า เงื่อนไขของโครงการที่ให้ประโยชน์กับผู้เสียภาษีมากกว่าปกติ เป็นเพียงนโยบายเดียวที่เกิดขึ้นใหม่ และไม่แน่นอนว่าจะมีโครงการที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้เสียภาษีเพิ่มเติมในอนาคตหรือไม่ จึงไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อแรงจูงใจอยากเข้ามาเสียภาษีของผู้ที่ไม่เคยเสียภาษีมาก่อน

 

นอกจากนี้ ดร.นณริฏ ระบุด้วยว่า ไม่เห็นด้วยกับความยุติธรรมที่คิดในแง่มุมของการให้ประโยชน์ผู้ที่เสียภาษีมากกว่าผู้ที่ไม่เสียภาษี เพราะหลักคิดไม่น่าจะเหมาะสมกับเครื่องมือที่ใช้ ถ้าย้อนกลับไปดูหลักคิดที่เหมาะสม คิดว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นธรรม คือ ต้องดูว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจมีความจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นมากน้อยแค่ไหน และวิธีการไหนที่จะทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีที่สุด 

 

ปัจจุบันมองว่า เศรษฐกิจไทยอาจจะต้องการการกระตุ้นอยู่บ้างเพราะอัตราเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโตต่ำกว่าที่ควรจะเป็นพอสมควร แต่ก็ต้องยอมรับว่าประสิทธิภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงหลังโควิด-19 มีประสิทธิภาพน้อยลงกว่าแต่ก่อนมาก และทางเลือกที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรมในการใช้ภาษีควรจะต้องเลือกทางเลือกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งก็คือ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้ประชาชนมีทักษะความชำนาญมากยิ่งขึ้น ผู้ส่งออกต้องเก่งขึ้น ทำให้รายได้เพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืนมากกว่าจะแจกเงินแบบโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet หรือร่วมจ่ายแบบโครงการนี้

 

"ในประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำ คิดว่าไม่ควรจะเป็นประเด็นเช่นเดียวกัน การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำมันมีนโยบายเฉพาะของมันที่ควรจะดำเนินการ ซึ่งจะแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและให้ผลลัพธ์ที่ครอบคลุมความเหลื่อมล้ำที่อาจจะเกิดขึ้นจากนโยบายนี้ด้วย จึงไม่ควรจะนำเอาประเด็นนี้มาพิจารณาในการออกแบบนโยบายคนละครึ่งนี้" ดร.นณริฏ กล่าว

 

เนื่องจากประสิทธิภาพของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มลดลงเป็นอย่างมากในช่วงหลัง ประกอบกับสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจที่การเติบโตต่ำกว่าศักยภาพไม่มากนัก ทำให้เหตุผลความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจมีน้อยลง และควรจะเอาเงินไปเน้นแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาวมากกว่า เช่น การศึกษา การฝึกทักษะแรงงาน การอัพเกรดเทคโนโลยี การสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรม การสนับสนุนการส่งออก เป็นต้น

 

สำหรับความคุ้มค่าของโครงการ และความพร้อมของฐานะทางการคลังของไทยนั้น ในการประเมินประสิทธิภาพความคุ้มค่า สามารถประเมินได้โดยตัวคูณ ซึ่งมีค่าอยู่ที่ประมาณ 1.0-1.5 เท่า ค่าตัวคูณมากกว่า 1 คือ ถือว่าเป็นนโยบายที่เกิดผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และขนาดของโครงการไม่ใหญ่มากนัก คิดเบื้องต้นจากงบประมาณราว 2.5 หมื่นล้านบาท จึงไม่ได้ส่งผลกระทบต่อฐานะทางการคลังที่มักจะพิจารณาเทียบกับขนาดของ GDP หลักสิบล้านล้านบาท

 

"ถ้าขนาดโครงการที่ 2.5 หมื่นล้านบาท โดยมีตัวคูณที่ 1.0-1.5 เท่า แปลว่าจะสามารถเพิ่มขนาดของเศรษฐกิจได้ประมาณ 2.5-3.7 หมื่นล้านบาท แต่ผลกระทบทั้งหมดโดยมากจะเกิดขึ้นใน 5 ปีต่อมา โดยมีแรกผลกระทบน่าจะเกิดขึ้นประมาณ 50-60% ของผลกระทบทั้งหมด และเมื่อคิดว่าโครงการนี้จะเริ่มต้นในช่วงปลายปี คือ ไตรมาสที่ 4 จึงเกิดผลเพียง 1 ใน 4 ของผลกระทบที่เกิดขึ้นในปีแรก หรือ น่าจะเทียบเท่ากับ 3.8 พันล้านบาท หรือประมาณ 0.02% ของ GDP" ดร.นณริฏ กล่าว


ทั้งนี้ สรุปได้ว่า นักวิชาการเสนอให้รัฐบาลเลือกใช้นโยบายที่สามารถสร้างผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจนและยั่งยืน แต่อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติ ยังต้องรอรายละเอียดของโครงการอย่างเป็นทางการของรัฐบาลก่อน จึงจะสามารถประเมินทิศทางและผลกระทบที่แท้จริงของนโยบายได้อย่างชัดเจน และครบถ้วน

ข่าวล่าสุด

LIVE ถ่ายทอดสด บุรีรัมย์ พบ การท่าเรือ ฟุตบอลไทยลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68