posttoday

สศค. ปรับเพิ่มGDPปี68 เป็น 2.2% แรงหนุนส่งออก-การผลิต-บริโภคโตต่อเนื่อง

30 กรกฎาคม 2568

สศค. ปรับคาดการณ์จีดีพีปี 68 เป็น 2.2% จากเดิม 2.1% จากปัจจัยหนุน ส่งออก-บริโภค-อุตสาหกรรมโตต่อเนื่อง ประเมินไทยไทยโดนสหรัฐเก็บภาษี 15-36% ชี้ปะทะไทย-กัมพูชาส่งผลกระทบจำกัดในวงแคบ

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า สศค. ได้ปรับประมาณการการเติบโตเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 2.2% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 2.1% โดยมีแรงหนุนสำคัญจากการฟื้นตัวของการส่งออก ภาคการผลิตภาคอุตสาหกรรม และการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มของเศรษฐกิจโลกและการประเมินล่าสุดของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตที่ 2.0% ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวในระดับ 3.0%

 

ภายใต้การประเมินดังกล่าว สศค. ใช้สมมติฐานว่าภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อไทยยังอยู่ในระดับ 15–36% ซึ่งเป็นระดับที่ไทยยังสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันได้ โดยมองว่าไทยจะได้รับข้อตกลงผ่อนปรนจากสหรัฐฯ ภายในไตรมาส 3 ของปีหน้า และเชื่อว่าแนวโน้มของไทยจะสอดคล้องกับประเทศคู่ค้าอื่น ๆ ที่ได้รับการพิจารณาเช่นกัน

 

"การประมาณการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2568 เป็นไปตามทิศทางของ IMF รวมทั้งผลกระทบประเทศคู่ค้าของไทย ภายใต้การคาดการณ์ภาษีศุลการตอบโต้ของสหรัฐ 15-36% โดยมองอัตราของไทยเป็นข้อเสนอที่ดี และเกิดประโยชน์กับคู่ค้าของไทยและไทยด้วย เชื่อว่าอัตราภาษีของไทยที่จะได้รับจะเป็นไปในทิศทางหลายประเทศเพื่อนบ้านที่ได้รับการพิจารณาแล้ว " 

 

สำหรับ ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ประกอบด้วย 3 ด้าน ได้แก่ การผลิตภาคอุตสาหกรรม ซึ่งคาดว่าจะกลับมาขยายตัว 1.2% (ในช่วงคาดการณ์ 0.7–1.7%) จากการฟื้นตัวของกลุ่มยานยนต์ ชิ้นส่วนอุตสาหกรรม และแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ หลังจากหดตัว -0.4% ในปีก่อนหน้า การส่งออกสินค้าคาดว่าจะเติบโตได้ 5.5% ขณะที่การนำเข้าขยายตัว 5% ส่วนการบริโภคภาคเอกชนคาดว่าจะเติบโต 3.1% สะท้อนจากแนวโน้มการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศที่เติบโตต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 9

ส่วน การบริโภคภาครัฐ คาดว่าจะขยายตัว 1.2% ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัว 3% โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาท จาก 1,880 โครงการในช่วงครึ่งปีแรก ส่วนการลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัว 3.9% ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ 0.4% และเงินเฟ้อพื้นฐานที่ 0.7%

 

อย่างไรก็ดี สศค. เตือนว่าในช่วงครึ่งหลังของปี ยังต้องจับตาความเสี่ยงจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการค้าโดยตรงและโดยอ้อม รวมถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยกระทรวงการคลังเตรียมขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมวงเงิน 157,000 ล้านบาท เพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
 

ด้านสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา สศค. ประเมินว่าผลกระทบยังจำกัดอยู่ในพื้นที่ชายแดน 7 จังหวัดที่มีการรายงานความเสียหายทางทรัพย์สิน โดยกระทรวงการคลังได้ขยายวงเงินทดรองราชการให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่เป็นจังหวัดละ 100 ล้านบาท และพร้อมพิจารณาขยายเพิ่มหากจำเป็น รวมถึงสถาบันการเงินของรัฐได้ออกมาตรการพักชำระหนี้ ลดอัตราดอกเบี้ย และเตรียมวงเงินฉุกเฉินเพื่อเยียวยาผลกระทบอย่างเหมาะสม

 

ในส่วนของภาวะเศรษฐกิจไทยเดือนมิถุนายน 2568 เศรษฐกิจยังคงขยายตัวได้จากการส่งออกที่เติบโตสูงถึง 15.5% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 แม้ว่าการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนจะเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศลดลง 15.2% เหลือ 2.32 ล้านคน ขณะที่การท่องเที่ยวภายในประเทศยังเติบโต โดยมีผู้เยี่ยมเยือนไทยจำนวน 21.7 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

นายวโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สศค. ระบุว่า การประมาณการเศรษฐกิจไทยในครั้งนี้อยู่บนพื้นฐาน 5 สมมติฐานหลัก ได้แก่

 

การเติบโตของประเทศคู่ค้าหลัก 15 ประเทศ คาดว่าจะขยายตัว 2.8% โดยต้องจับตาความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า ทิศทางเศรษฐกิจโลก และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์

 

ค่าเงินบาทคาดเฉลี่ยที่ 33.10 บาทต่อดอลลาร์ อยู่ในช่วง 32.6–33.6 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากปีก่อน 6.2%

 

ราคาน้ำมันดิบดูไบคาดเฉลี่ยที่ 68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยต้องติดตามท่าที OPEC+ และความขัดแย้งในตะวันออกกลาง

 

จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติคาดที่ 34.5 ล้านคน ลดลงจากประมาณการเดิม 36.5 ล้านคน เนื่องจากการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้านและนโยบายการท่องเที่ยวของไทยเอง

 

รายจ่ายภาครัฐคาดจะขยายตัว 4.2% จากเดิม 3.1% สะท้อนจากการเบิกจ่ายที่สูงขึ้นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและรัฐวิสาหกิจ

 

"เน้นย้ำว่าจำเป็นต้องติดตามความเสี่ยงสำคัญที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิดในระยะต่อไป อาทิ การปรับขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ การย้ายฐานการผลิตเข้าสู่ไทย ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ระดับหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่อาจกระทบต่อแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ทั้งทางตรงและทางอ้อม"
 

ข่าวล่าสุด

"แก๊งคอลเซ็นเตอร์" อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ยังระบาดหนัก!