posttoday

ไทยต้องปรับตัว หลังสหรัฐฯ เตรียมจัดเก็บภาษีในอัตรา 36%

14 กรกฎาคม 2568

SCB EIC ชี้ไทยเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้างจากภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่สูงกว่าคู่แข่ง ต้องเร่งเจรจา หามาตรการเยียวยา และวางแผนระยะยาวเพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ

จากกรณีที่รัฐบาลสหรัฐฯ เตรียมเริ่มจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) จากสินค้าไทยในอัตรา 36% ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 หลังเลื่อนเส้นตายเดิมจากวันที่ 9 กรกฎาคม โดยไทยอยู่ในกลุ่ม 14 ประเทศแรกที่ได้รับหนังสือแจ้งเตือนจากสหรัฐฯ

 

SCB EIC ชี้ว่าการจัดเก็บภาษีในอัตราดังกล่าวสูงกว่าค่าเฉลี่ยอาเซียนและเอเชีย และมากกว่าคู่แข่งสำคัญของไทย เช่น จีนและเวียดนาม ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ

 

 ผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมไทย

                1.            กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า

ไทยอาจสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และจีน เนื่องจากภาษีนำเข้าที่ไทยต้องจ่ายสูงกว่า

                2.            สินค้ายางล้อ

เสี่ยงสูญเสียสถานะคู่ค้าอันดับ 1 เพราะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์จากข้อตกลง USMCA เหมือนเม็กซิโกและแคนาดา

                3.            อาหารทะเลแปรรูป เช่น ทูน่ากระป๋อง

อัตราภาษีที่สูงกว่าเวียดนาม อาจทำให้ไทยสูญเสียความได้เปรียบในตลาดสหรัฐฯ

                4.            สินค้าสวมสิทธิ (Transshipping)

สหรัฐฯ อาจตั้งเป้าเพิ่มภาษีสำหรับสินค้าที่ใช้วัตถุดิบนำเข้าสูง หรือมีข้อสงสัยเรื่องแหล่งกำเนิดสินค้า เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยางล้อ และเครื่องใช้ไฟฟ้า

 

 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเกษตรและปศุสัตว์

 

หากไทยจำเป็นต้องเปิดตลาดเสรีให้สหรัฐฯ แบบไม่มีเงื่อนไขเพื่อแลกกับการลดภาษีตอบโต้ อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบรุนแรง ได้แก่:

                •             สุกรและไก่เนื้อ: ต้นทุนการผลิตสูงกว่าสหรัฐฯ ถึงราว 27% ส่งผลให้แข่งขันไม่ได้

                •             ข้าวโพด: ไทยผลิตใช้เองเป็นหลัก หากมีการนำเข้าเพิ่ม ราคาจะลดลงและกระทบผู้ผลิตรายย่อย

 

แม้ผู้บริโภคจะได้ประโยชน์จากราคาสินค้าที่ถูกลง แต่ความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางอาหารจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

 

 แนวโน้มเศรษฐกิจไทย

                •             การส่งออก: คาดจะเริ่มหดตัวตั้งแต่ปลายไตรมาส 3 และมากขึ้นในไตรมาส 4

                •             การลงทุนภาคเอกชน: มีแนวโน้มชะลอ จากความไม่แน่นอนในการเจรจาการค้า

                •             การบริโภคภาคเอกชน: จะชะลอตัวมากขึ้นในช่วงสิ้นปี ส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน

                •             นโยบายการเงิน: มีโอกาสเห็น กนง. ปรับลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ เพื่อรองรับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว

 

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

                •             การเจรจาการค้า: ควรเน้นความสมดุลระหว่างผลประโยชน์กับผลกระทบ โดยเฉพาะสินค้าอ่อนไหวสูง

                •             การช่วยเหลือภาคธุรกิจ: ให้สภาพคล่อง, หาตลาดใหม่ และยกระดับศักยภาพการแข่งขัน

                •             งบประมาณรับมือ: อาจใช้เงินสำรองหรือปรับงบประมาณปี 2569 รวมถึงการออก พ.ร.ก. ในกรณีจำเป็น

                •             กลยุทธ์ระยะยาว: ยกระดับมาตรฐานการผลิต พัฒนานวัตกรรม และเทคโนโลยี เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน

ข่าวล่าสุด

LH Bank ออกผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพผู้ป่วยนอก “LHB OPD SAVER”