posttoday

“ธาริษา” เตือนสติขุนคลัง เลือกผู้ว่า ธปท.คนใหม่ ต้องอิสระจากการเมือง

08 กรกฎาคม 2568

“ธาริษา” อดีตผู้ว่า ธปท. ร่อนจดหมายเปิดผนึกถึง รมว.คลัง เตือนสติเลือกผู้ว่า ธปท. คนใหม่ คุณสมบัติสำคัญต้องทำนโยบายอย่างเป็นอิสระจากการเมือง ห่วงกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติ

ตามที่เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.2568 ที่ประชุมคณะกรรมการคัดเลือกผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยมีนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ เป็นประธานฯ ได้พิจารณาคัดเลือกผู้สมัครที่เหมาะสมดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ ธปท. 2 ราช จากผู้สมัครที่ผ่านคุณสมบัติ 6 ราย จากการแสดงวิสัยทัศน์และสัมภาษณ์ เพื่อเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาเรียบร้อยแล้ว

โดยตามรายงานจากกระทรวงการคลัง ระบุว่า ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกชิงตำแหน่งผู้ว่าการ ธปท. จำนวน  2 ราย คือ ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. และ นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน

ล่าสุดวันนี้ (8 ก.ค.2568) นางธาริษา วัฒนเกส อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยเนื้อความระบุว่า ขณะนี้ท่านมีรายชื่อแคนดิแดทผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อยู่ในมือสองคน อยู่ที่ท่านว่าจะเสนอใครต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป เรื่องความเหมาะสมมีการพูดกันมากแล้ว

ดิฉันใคร่ขอเตือนสติท่านเพียงประเด็นเดียวว่า คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของผู้ว่าการธนาคารกลางคือ การทำนโยบายอย่างเป็นอิสระจากการเมือง หรือที่เราเรียกว่า Central Bank Independence ซึ่งเป็นสิ่งที่จะธำรงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือในการทำนโยบายของธนาคารกลาง และมีผลพวงถึงความน่าเชื่อถือของประเทศในสายตาของนักลงทุนต่างประเทศด้วย ไม่ได้หมายความว่าธนาคารกลางและรัฐบาลจะต้องขัดแย้งกัน ทุกฝ่ายจะต้องทำงานร่วมกันอยู่แล้ว แต่ทั้งสองฝ่ายมีเป้าหมายของการทำนโยบายระยะสั้นยาวไม่เท่ากัน

การทำนโยบายของธนาคารกลางซึ่งมุ่งเน้นผลในระยะยาว จึงเป็นการถ่วงดุลไม่ให้มีแต่นโยบายระยะสั้นจนเป็นผลเสียในระยะยาว การเป็นอิสระจากการเมือง จึงเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่ง เราเคยเห็นตัวอย่างแล้วจากต่างประเทศว่าการขาดความอิสระของธนาคารกลางสร้างความเสียหายแก่เศรษฐกิจและระบบการเงินอย่างไร เช่น ในตุรกีในสมัยประธานาธิบดี Erdogan การแทรกแซงทางการเมืองทำให้นโยบายการเงินขาดความเป็นอิสระ อัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำเกินไปเป็นเวลานาน เป็นผลให้ค่าครองชีพพุ่งสูง นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นอย่างรุนแรง และค่าเงินอ่อนลงอย่างมาก 

คนทำงานในธนาคารแห่งประเทศไทยซึมซับถึงหลักการสำคัญข้อนี้ดี ตรงกันข้าม ผู้บริหารธนาคารเฉพาะกิจคุ้นเคยกับการรับนโยบายของรัฐบาลไปทำอยู่แล้ว เพราะเมื่อเกิดความเสียหาย รัฐบาลก็ต้องชดเชยให้ (ตามกติกาการกันสำรองหนี้สูญหรือเพิ่มทุนของการกำกับดูแลของ ธปท.) จึงไม่มีความเสี่ยงกับองค์กรในการรับนโยบายของรัฐบาลมาทำ ซึ่งต่างจากกรณีขององค์กร เช่น ธปท. อย่างมาก เพราะถ้าเกิดความเสียหายคือความเสียหายของประเทศชาติ  

ดังนั้น ถ้าท่านเลือกผู้ว่าการที่ประสบการณ์การทำงานเดิมต้องสนองนโยบายของรัฐจนเป็นความเคยชิน จึงยากที่จะคาดหวังให้ทำหน้าที่ของผู้ว่าการอย่างเป็นอิสระ ที่จริงยังไม่ต้องทำนโยบายอะไร เพียงแค่ประวัติและประสบการณ์ที่ก่อให้เกิด perception ว่าผู้ว่าการ ธปท. คนใหม่เป็นคนที่ใกล้ชิดกับรัฐบาล และเคยสนองนโยบายของรัฐบาลมาตลอดในฐานะผู้บริหารของธนาคารของรัฐ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศต่อสถาบันนี้ก็จะเสื่อมถอยไปทันที ปัจจุบันนักลงทุนต่างประเทศก็เลือกไปลงทุนในประเทศอื่นๆ ในอาเซียนมากขึ้นเรื่อยๆ อยู่แล้ว 

ท่ามกลางความท้าทายที่รุมเร้าจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าศักยภาพ ตัวเลขหนี้สินภาคครัวเรือนที่สูงอยู่ที่ระดับ 87.5% และยังมีผลกระทบของสงครามการค้าหากไทยถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสูงถึง 36% ดิฉันหวังว่าท่านจะไม่ทำให้ความน่าเชื่อถือต่อธนาคารกลางเสื่อมถอยไปอีกสถาบันหนึ่ง ซึ่งจะเป็นตัวเร่งให้ความเชื่อมั่นต่อประเทศชาติหดหายไปมากยิ่งขึ้นอีก

ข่าวล่าสุด

"ธรรมนัส” เผย 25 ธ.ค.นี้ กล้าธรรมเปิดตัวสส.ทั้งเขต-ปาร์ตี้ลิสต์