เปิดรายได้ 9 ร้านอาหารดังในไทย ใครคือตัวจริงสมรภูมิในปีนี้
งบรายได้-กำไร ปี 2567 ของร้านอาหารดังออกครบแล้ว เจาะ 9 แบรนด์ร้านอาหารในไทย ใครคือตัวจริงบนสมรภูมิธุรกิจอาหาร?
ธุรกิจร้านอาหาร-เครื่องดื่ม เปิดใหม่แทบทุกเดือน และแต่ละแบรนด์แข่งขันกันอย่างดุเดือด อย่างล่าสุดกระแสหม้อเดือดสองแบรนด์ดังกลายเป็นกระแสใหญ่วงการอาหาร เมื่อ MK ออกโปรโมชัน “คุ้มคุ้ม ไม่อั้น” ให้ลูกค้าสามารถทานอาหารแบบบุฟเฟต์ ได้ 19 รายการ ในราคา 299 บาท แถมถ้ามา 4 ลูกค้าจะสามารถสั่งกุ้งแม่น้ำไม่อั้นได้แบบไม่ต้องจ่ายเพิ่มและในวันเดียวกัน สุกี้ตี๋น้อย ออกโปรโมชันลดราคาบุฟเฟต์เหลือหัวละ 199 บาท จาก 219 บาท (ราคายังไม่รวมเครื่องดื่ม และ VAT 7%)
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผยให้เห็นถึงภาพรวมของธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มในประเทศไทยที่ยังคงคึกคัก แม้จะมีแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
โดยในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2568 มีการจดทะเบียนจัดตั้งกิจการใหม่ในกลุ่มนี้ จำนวน 973 ราย แม้จะลดลง 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่ก็ยังคงติดอันดับ 1 ใน 5 ประเภทธุรกิจที่มีการเปิดกิจการใหม่มากที่สุดเป็นประจำทุกปี
นอกจากนี้ยังประเมินว่า ในปี 2568 ประเทศไทยจะมีจำนวนร้านอาหารและเครื่องดื่มรวมกว่า 690,000 ร้านทั่วประเทศ ซึ่งตัวเลขนี้ยังไม่รวมรูปแบบธุรกิจขนาดเล็ก และไม่เป็นทางการ เช่น ร้านรถเข็น ร้านริมทาง ฟู้ดทรัค หรือ Ghost Kitchen ที่ไม่มีหน้าร้านแบบถาวร ซึ่งมีจำนวนอยู่ไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดบรรดายักษ์ใหญ่ธุรกิจอาหาร ได้ส่งงบปี 2567 กันหมดแล้ว “โพสต์ทูเดย์” สำรวจ 9 ร้านดังทั้งอาหาร เครื่องดื่ม ขนมหวาน มีแบรนด์ไหนทำผลงานได้ดี ดังนี้
1.สุกี้ตี๋น้อย
สุกี้ตี๋น้อย บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด ครองแชมป์ทั้งในแง่ยอดขาย (7,075 ล้านบาท) และกำไรสุทธิรวม (1,168 ล้านบาท) ซึ่งถือเป็นแบรนด์ที่มีการเติบโตขึ้นทุกปี
เมื่อดูสถิติย้อนหลังพบว่า ปี 2565 ทำรายได้รวมอยู่ที่ 3.9 พันล้าน กำไรเฉียด 6ร้อยล้าน ขณะที่ปี 2566 รายได้อยู่ที่ 5.2 พันล้าน กำไรกว่า 9 ร้อยล้าน สะท้อนการเติบโตต่อเนื่อง รายได้เข้าใกล้หมื่นล้านบาท และก้าวสู่บิ๊กเพลย์เยอร์รายใหม่
2.ฮะจิบัง
บริษัท ไทย ฮะจิบัง จำกัด เชนราเมนที่ใหญ่ที่สุดในไทย ยังคงรักษาสมดุลได้ดีระหว่างขนาดธุรกิจ และความสามารถในการทำกำไร โดยปีงบล่าสุดทำรายได้ 3,107 ล้านบาท และกำไร 543 ล้านบาท (อัตรากำไร 17.48%)
3.ซูชิโร่
แบรนด์ซูชิสายพานชื่อดังจากญี่ปุ่น ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท ซูชิโร่ จีเอช (ประเทศไทย) จำกัด โชว์ผลงานเติบโตโดดเด่น ด้วยรายได้รวม 2,902 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 368 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 12.7% แม้ต้องเผชิญกับต้นทุนวัตถุดิบนำเข้าที่สูงขึ้น แต่ยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รักษาความสามารถในการทำกำไรให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ
4.ไอเบอร์รี่ โฮมเมด
เจ้าของแบรนด์ร้านอาหารชื่อดังอย่าง กับข้าว’กับปลา, รสนิยม และเจริญแกง ในเครือ Iberry Group ทำผลงานโดดเด่นไม่แพ้ใคร ด้วยรายได้รวม 2,694 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิสูงถึง 537 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 19.94% สะท้อนความแข็งแกร่งในการบริหารธุรกิจร้านอาหารที่หลากหลายและตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างลงตัว
5.Mo-Mo-Paradise
แบรนด์ชาบูพรีเมียมภายใต้การบริหารของบริษัท โนเบิล เรสเตอท์รองต์ จำกัด สร้างรายได้รวม 1,744 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 170 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 9.75% แม้ยังสามารถทำกำไรได้ แต่ตัวเลขสะท้อนให้เห็นถึงภาระต้นทุนที่ค่อนข้างสูง ซึ่งอาจเป็นโจทย์สำคัญในการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในอนาคต
6.After You
ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท อาฟเตอร์ยู จำกัด (มหาชน) โชว์ศักยภาพของร้านขนมที่บริหารจัดการได้อย่างแข็งแกร่ง ทั้งในแง่ยอดขายและกำไร ด้วยรายได้รวม 1,603 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 296 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 18.48% โดยมีจุดแข็งสำคัญอยู่ที่ความแข็งแกร่งของแบรนด์และความภักดีของลูกค้า (Customer Loyalty) ซึ่งช่วยผลักดันผลประกอบการให้เติบโตอย่างมั่นคง
6.After You
7.ทองสมิทธิ์
ทองสมิทธิ์ ร้านก๋วยเตี๋ยวพรีเมี่ยม ภายใต้การบริหารของบริษัท ทองสมิทธิ์ สยาม จำกัด รายได้แตะ 1,159 ล้านบาท สามารถทำกำไรสุทธิได้ถึง 240 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิสูงถึง 20.77% ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในกลุ่มร้านอาหารที่เปรียบเทียบกันในครั้งนี้ สะท้อนถึงกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่เน้นคุณภาพ ควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และมีความสามารถในการตั้งราคาต่อหน่วยได้อย่างเหมาะสม
8.ลัคกี้สุกี้
ภายใต้การบริหารของบริษัท มิราเคิล แพลนเนท จำกัด แม้จะเป็นแบรนด์น้องใหม่ที่ยังไม่ได้สร้างความหวือหวาในวงกว้าง แต่กลับโชว์ศักยภาพได้อย่างน่าสนใจ ด้วยรายได้ 1,015 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 108 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไร 10.68% ถือเป็นผลลัพธ์ที่น่าจับตา โดยเฉพาะจากการขยายสาขาที่ช่วยผลักดันรายได้เติบโตอย่างรวดเร็ว พร้อมรักษา Margin ในระดับเลขสองหลักได้อย่างมั่นคง
9.The Platters เจ้าของร้าน Fran’s
ดำเนินงานโดยบริษัท เดอะ แพลทเทอส์ มหานคร จำกัด แม้จะเป็นแบรนด์ขนาดเล็กที่สุดในกลุ่มที่มีการเปรียบเทียบ โดยมีรายได้ 445 ล้านบาท แต่ยังสามารถทำกำไรสุทธิ 45 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไร 10.15% สะท้อนถึงการวางตำแหน่งแบรนด์ที่ชัดเจน มีฐานลูกค้าที่เหนียวแน่น และบริหารจัดการต้นทุนได้ดีแม้ในตลาดที่แข่งขันสูง
อย่างไรก็ตามภาพรวมทั้งหมด สะท้อนให้เห็นว่า “กำไร” ไม่ได้มาจากยอดขายเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากความสามารถในการบริหารธุรกิจอย่างมีคุณภาพ การรักษาอัตรากำไรให้สูงภายใต้ภาวะต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและการแข่งขันที่รุนแรง


