ภาษีทรัมป์ ดันทองคำช่วงที่เหลือปี 68 ออลไทม์ไฮ 3,800-4,000 ดอลลาร์
MTS Gold ชี้ราคาทองคำช่วงที่เหลือของปี 68 หากไม่หลุด 3,200 ดอลลลาร์ มีโอกาสทำออลไทม์ไฮ 3,800-4,000 ดอลลาร์ ผลจากภาษีทรัมป์ แนะระยะสั้นมทยอยเข้าซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว
นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก จำกัด (MTS Gold) เปิดเผยในงานสัมมนา Thailand Investment Forum 2025: Great Depression พลิกเกมฝ่าวิกฤติ หัวข้อ Future Investment Trends ที่จัดขึ้นโดยกรุงเทพธุรกิจ ฐานเศรษฐกิจ และโพสต์ทูเดย์ ว่า แนวโน้มราคาทองคำในช่วงที่เหลือของปี 2568 หากยืนและไม่หลุด 3,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ น่าจะมีโอกาสดีดตัวขึ้นไปทำออลไทม์ไฮแตะ 3,800-4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เป็นผลจากการเรียกเก็บภาษีนำเข้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐ
“ทองคำระยะยาวยังเป็นขาขึ้น ส่วนระยะสั้นเห็นการแกว่งตัวไซด์เวย์ แต่ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา ทองคำไม่ได้ทำนิวโลว์ ถ้ายืนได้ไม่หลุด 3,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ มีโอกาสสูงที่จะดีดตัวขึ้น ดังนั้นกลยุทธ์ระยะสั้น แนะนำทยอยเข้าซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว 30-50 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์” นพ.กฤชรัตน์ กล่าว
หลังจากในช่วงตั้งแต่ต้นปี 2568 จนถึงปัจจุบัน (YTD) ราคาทองคำปรับขึ้นกว่า 20% มาอยู่ที่ประมาณ 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็นผลจากการเรียกเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
“ในปีนี้ทองคำเคยขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ 3 เดือนแรกปีนี้ ขึ้นมาแล้ว 30% ทำไฮหลาย 10 ครั้ง เนื่องจากภาษีทรัมป์ และการรับรู้จากข่าวสงครามบ้าง โดยขึ้นหนักๆ ตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย.2568 ปรับขึ้นอีก 10% ทำให้ภาพรวมเดือน เม.ย.2568 ราคาทองคำปรับขึ้นอย่างมาก แต่ตอนนี้ปรับฐาน ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 3,300ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์” นพ.กฤชรัตน์ กล่าว
ส่วนราคาทองคำในประเทศจะปรับตัวขึ้นน้อยกว่าราคาทองคำในต่างประเทศ ประมาณ 2-3% จากเงินบาทแข็งค่า โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้น 1 บาท กดดันราคาทองคำ 3,000 บาทต่อบาททองคำ โดยในปี 2567 ราคาทองคำในต่างประเทศปรับตัวขึ้น 30% ขณะที่ราคาทองคำในประเทศ ปรับตัวขึ้น 27%


