ไทยเตรียมเจรจาสหรัฐ ปักธงต้องไม่จ่ายภาษีมากกว่าประเทศอื่น
พิชัย เผย ไทยได้สัญญาณตอบรับจากสหรัฐฯแล้ว จ่อเจรจาภาษีเร็วๆนี้ ยึดหลัก 5 ข้อ ลั่นต้องไม่เสียภาษีสูงกว่าชาติอื่น เร่งดึงบริษัทยักษ์ใหญ่ลงทุนไทยเพิ่มสัดส่วนลงทุน แตะ 6 ล้านล้าน ฟื้นศก.
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวปาฐกถา Thailand Investment Forum 2025: Great Depression พลิกเกมฝ่าวิกฤติ ภายใต้หัวข้อ “มาตรการคลังฟื้นเศรษฐกิจ ปลุกความเชื่อมั่นตลาดทุน” จัดขึ้นโดย กรุงเทพธุรกิจ ฐานเศรษฐกิจ และโพสต์ทูเดย์ ว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา ผมได้รับข้อความตอบรับจากแทนการค้าสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเขาเปิดช่องให้มีการกลับมาเจรจากันอีกครั้ง ถือเป็นพัฒนาการที่ดีมาก จากนี้ไป จากนี้ไทยก็จะเตรียมการ respond โดยจะมอบหมายให้จัดทำข้อมูลที่อัปเดตข้อมูลในกานจรจาเพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์มากขึ้น
ทั้งนี้ ฝ่ายไทยได้มีการปรับปรุงข้อเสนอเพื่อเตรียมพร้อมในการเจรจาแล้ว โดยมีทั้งมาตรการด้านภาษีและไม่ใช่ภาษีรวมประมาณ 5 ข้อ ได้แก่
1.ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล
ไทยพร้อมเป็นพันธมิตรเศรษฐกิจ โดยเน้นการส่งเสริมอุตสาหกรรมการแปรรูปและเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์ และ AI พร้อมร่วมพิจารณาลดอุปสรรคการค้าทั้งด้านภาษีและไม่ใช่ภาษี
2.เพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ
ไทยยินดีขยายการนำเข้าสินค้าพลังงาน, สินค้าเกษตร, เครื่องบิน และอุปกรณ์บริการ โดยมีคณะผู้แทนไทยและ ปตท.-กฟผ. เดินทางหารือกับรัฐอลาสกาและบริษัทพลังงานสหรัฐเพื่อหาโอกาสร่วมมือ
3.เปิดตลาดสินค้าเกษตร
ไทยเตรียมเปิดตลาดสำหรับสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เช่น ผลไม้ และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อสนับสนุนการค้าแบบสองทางอย่างสมดุล
4.ควบคุมการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้า
ไทยประกาศใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้า ซึ่งได้รับความพึงพอใจจากเจ้าหน้าที่ศุลกากรสหรัฐฯ แล้ว
5.ส่งเสริมการลงทุนของไทยในสหรัฐฯ
ไทยเดินหน้าส่งเสริมภาคเอกชนลงทุนในสหรัฐ โดยผู้แทนการค้าไทยและภาคธุรกิจระดับประเทศร่วมงาน Select USA Investment Summit 2025 เพื่อขยายโอกาสการลงทุนร่วม
ที่ผ่านมาทางสหรัฐฯ อาจมีความล่าช้าในการเรียกไทยเข้าเจรจา เราเองก็ต้องประเมินสถานการณ์และจังหวะเวลาจากการเจรจาของประเทศอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อให้เดินเกมอย่างเหมาะสม ซึ่งส่วนตัวเข้าว่า การปรับขึ้นภาษีของสหรัฐมีผลกระทบทั้งโลก แต่ว่ามองว่า ไทยต้องไม่จ่ายมากกว่าประเทศอื่น
อย่างไรก็ตาม หากการเจรจาภาษีกับสหรัฐ ไม่หากไม่ทันวันที่ 7 ก.ค.2568 ก็ไม่ต้องกังวล เพราะเป็นไปตามทิศทางเดียวกับทั้งโลกที่อยู่ในกระบวนการเช่นกัน
สำหรับสถานการณ์การฟื้นเศรษฐกิจไทย นายพิชัยเน้นย้ำว่า Trust and Confidence หรือ ความเชื่อมั่น คือปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ โดย การลงทุนคือกลไกสำคัญในการจ้างงาน การบริโภค และการเติบโตของ อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ GDP ทั้งนี้ การฟื้นความเชื่อมั่นต้องเกิดขึ้นทั้งจากนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศ
ถ้าความเชื่อมั่นกลับมา การลงทุนเพิ่มขึ้น การจ้างงานก็จะเกิดขึ้น และตลาดทุนไทยก็จะกลับมาคึกคักอีกครั้ง
ทั้งนี้ นายพิชัย ยังได้ ฉายภาพเปรียบเทียบเศรษฐกิจไทยในอดีต โดยระบุว่า ช่วงเศรษฐกิจรุ่งเรืองกว่า 40 ปีก่อน ประเทศไทยเคยมีอัตราการลงทุนสูงถึง 50% ของ GDP เช่น GDP 2 ล้านล้านบาท มีการลงทุนถึง 1 ล้านล้านบาท แต่ในช่วงหลังวิกฤต การลงทุนลดลงเหลือเพียง 20% ของ GDP และในบางปีต่ำกว่า 18%
วันนี้ GDP ไทยอยู่ที่ประมาณ 19 ล้านล้านบาท แต่การลงทุนอยู่เพียง 3.6 - 4 ล้านล้านบาท หรือราว 20% ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานโลกที่ควรอยู่ที่ 34% หรือ 6-6.5 ล้านล้านบาทต่อปี แปลว่าการลงทุนน้อยไปราว 2 ล้านล้านบาท ดังนั้นเราต้องเพิ่มการลงทุนให้อยู่ที่ราว 6 ล้านล้านบาท เพราะการลงทุนมีผลต่อความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 ไทยสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศแล้วกว่า 700,000 - 800,000 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับยอดรวมทั้งปีของปี 2567 ที่อยู่ที่ 1.2 ล้านล้านบาท โดยระบุว่า เป็นสัญญาณเชิงบวกของการฟื้นฟูความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติ
ไทยต้องเร่งดึงดูดการลงทุนในรูปแบบใหม่ (New Production Platform) อาทิ อุตสาหกรรมดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ดาต้าเซ็นเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และไบโอเทคโนโลยี (Bio-tech) ให้มากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งต้องเชื่อมโยงการลงทุนเหล่านี้เข้ากับทุนในประเทศอย่างเป็นระบบ ที่สำคัญ ไทยต้องปรับตัวให้สามารถรองรับการลงทุนแบบInternational Investment ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนักลงทุนควรใช้วัตถุดิบหรือผลิตผลิตภัณฑ์บางส่วนในประเทศ รวมถึงจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของไทย
แม้ภาคเกษตรใช้พื้นที่และแรงงานถึง 1/3 ของประเทศ แต่กลับสร้าง GDP ได้เพียง 8% โดยชี้ว่าเกษตรกรบางส่วนมีรายได้สุทธิต่อไร่ไม่ถึง 3,000 บาท ทำให้จำเป็นต้องมีมาตรการฟื้นฟูภาคเกษตรควบคู่กัน
นายพิชัยได้สะท้อนถึงอุปสรรคการลงทุนในประเทศไทยที่ยังต้องเร่งปฏิรูป ซึ่งมีผลต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติ ได้แก่ การให้สิทธิ์เช่าที่ดินระยะยาว เช่น รูปแบบ Long-term Leasing จำนวน 99 ปี แทนการซื้อกรรมสิทธิ์ รวมถึงราคาพลังงานไทยที่สูง
รวมไปถึง ความล่าช้าและความซับซ้อนของกฎหมาย โดยเสนอใช้ปรับปรุงกฎหมายให้เอื่อต่อการลงทุน และปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัย
อย่างไรก็ตาม มองว่า ประเทศไทยยังมีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ และเป็นหนึ่งในจุดหมายของการลงทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะ Southeast Asia ที่ถูกมองว่าเป็น “Growth Region” ของโลก
ประเทศไทยมีทั้งทางออกสู่ทะเล 2 ฝั่ง เชื่อมรางไปจีน เกาหลี และมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมรองรับการลงทุนระยะยาว แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นและปรับโครงสร้างภายในให้ทันต่อโลก


