พิชัย แจงสภาฯ พาณิชย์ใช้งบมีประสิทธิภาพ เร่งเจรจาภาษีทรัมป์-FTA
“พิชัย” แจงสภาฯ พาณิชย์ใช้งบมีประสิทธิภาพ พร้อมรับมือส่งออกครึ่งปีหลัง เดินหน้าเจรจาภาษีทรัมป์-FTA-ปกป้องผู้ประกอบการไทย ดันสินค้าเกษตรบุกตลาดใหม่ทั่วโลก
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 โดยตอบข้อซักถามของสมาชิกเกี่ยวกับแนวโน้มการส่งออกที่อาจลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี การแข่งขันการค้าอย่างไม่เป็นธรรม และแนวทางการใช้จ่ายงบประมาณของกระทรวงฯ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
นายพิชัย ระบุว่า กระทรวงพาณิชย์ใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ สะท้อนผ่านตัวเลขส่งออกที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยตลอด 7 เดือนที่ผ่านมาของรัฐบาลนี้ การส่งออกของไทยขยายตัวถึง 12.5% โดยในเดือนเมษายน 2568 ขยายตัวได้อีก 10.2% สะท้อนให้เห็นถึงความเข้มแข็งของการส่งออกไทย ไม่ได้เป็นผลเฉพาะจากการเร่งส่งออกไปยังสหรัฐฯ ตามที่ฝ่ายค้านตั้งข้อสังเกต
“ผมขอยืนยันว่าการส่งออกคือกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย หากไม่มีการเติบโตทางการส่งออก เศรษฐกิจประเทศจะขยับขยายได้ยาก” นายพิชัย กล่าว
โดยกระทรวงพาณิชย์ได้เดินหน้าเจรจามาตรการภาษีสหรัฐฯ ต่อเนื่อง ซึ่งตนพึ่งได้พบกับ นายเจมิสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ที่เกาหลีใต้ และจากภาพและคลิปจะเห็นภาษากายที่แสดงถึงความคุ้นเคยและติดต่อกันมานานแล้ว
ขณะที่ไทยได้ขับเคลื่อนการเจรจา FTA ต่อเนื่อง เพื่อสร้างแต้มต่อทางการค้า ลดต้นทุนการส่งออก เพิ่มการใช้สิทธิประโยชน์ FTA โดยเฉพาะในกลุ่ม SME ได้ปิดดีล FTA ไทย–EFTA และไทย–ภูฏาน พร้อมผลักดัน FTA ใหม่ให้เสร็จโดยเร็ว เช่น เกาหลีใต้ UK แคนาดา
ในส่วน ไทย–EU ตนมีนัดพบกับนายมารอส เซฟโควิช กรรมาธิการยุโรปด้านการค้า ในวันที่ 4 มิถุนายนนี้ เพื่อผลักดันให้การเจรจา FTA กับ EU สำเร็จเร็วที่สุด โดยตั้งเป้าปิดดีลภายในปีนี้
ด้านการคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม นายพิชัย ระบุว่า กระทรวงฯ ได้เตรียมใช้มาตรการทางการค้า อาทิ มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (AD-CVD) มาตรการตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (AC) และมาตรการปกป้องจากการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard - SG) เพื่อป้องกันสินค้าราคาต่ำที่ส่งผลต่อผู้ประกอบการไทย
นายพิชัย ยืนยันว่า การเจรจากับสหรัฐฯ มีความคืบหน้า แม้ฝ่ายค้านจะตั้งข้อสงสัย โดยมีหลักฐานการติดต่อและพบปะกับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ แล้ว พร้อมแสดงความมั่นใจว่าการเจรจาจะนำไปสู่ความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายในระยะยาว
ในด้านสินค้าเกษตร นายพิชัย ยอมรับว่า ราคาสินค้าเกษตรยังคงเผชิญแรงกดดันจากตลาดโลก โดยเฉพาะราคาข้าวที่อินเดียส่งออกในราคาต่ำ ส่งผลกระทบต่อประเทศผู้ส่งออกร่วมกัน เช่น ไทย และเวียดนาม
อย่างไรก็ดี กระทรวงพาณิชย์ได้เร่งขยายตลาด เช่น การขายข้าวไปแอฟริกา 410,000 ตัน และการทำตลาดแบบในสัปดาห์ที่ผ่านมา ในงาน Thai Rice Convention 2025 ซึ่งขายได้ถึง 600,000 ตัน เพื่อระบายสต็อกและรองรับการผลิตใหม่
สำหรับมันสำปะหลัง นายพิชัยระบุว่า จีนซึ่งเป็นตลาดหลักลดการนำเข้าอย่างมาก เนื่องจากราคาข้าวโพดโลกตกลงถึง 37% ทำให้เปลี่ยนมาใช้ข้าวโพดผลิตแอลกอฮอล์แทน โดยกระทรวงฯ กำลังหาวิธีผลักดันการตลาดใหม่และช่วยลดต้นทุนเกษตรกรผ่านโครงการขายปุ๋ยราคาถูกกว่า 10 ล้านกระสอบ
นอกจากนั้น กรมการค้าต่างประเทศ ยังได้ขยายตลาดสินค้ามันสำปะหลัง เช่น ได้ลงนามทำสัญญาซื้อขายมันสำปะหลังกับผู้นำเข้ารายใหญ่จีน ซึ่งตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568 ได้อนุญาตส่งออกสินค้ามันเส้น และมันอัดเม็ดไปแล้วประมาณ 3.5 ล้านตัน สามารถดูดซับหัวมันสดในประเทศได้กว่า 8.34 ล้านตัน และสัปดาห์ที่แล้ว ก็สามารถขายมันสำปะหลังให้กับผู้นำเข้ารายใหญ่ของซาอุดีอาระเบียได้อีก 2 หมื่นตัน มูลค่า 136 ล้านบาท
ในเรื่องผลไม้ กระทรวงได้ขับเคลื่อนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ผ่าน 7 มาตรการ 25 แผนงาน ในช่วงนี้ได้เน้นอำนวยความสะดวกในการส่งทุเรียนไปยังตลาดจีน การหาตลาดใหม่ๆ ในการส่งออกผลไม้ไทย ได้รับความกรุณาจากท่านนายกฯ kick off งาน Thai Fruit Festival 2025 พร้อมกันทั่วประเทศ เพื่อเชิญชวนประชาชนบริโภคผลไม้ไทย เพื่อสนับสนุนรายได้ให้เกษตรกร
ทั้งนี้ นายพิชัยยังขอบคุณข้อเสนอแนะจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พร้อมย้ำว่ากระทรวงพาณิชย์เปิดรับทุกข้อคิดเห็นเพื่อร่วมกันผลักดันเศรษฐกิจของประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า โดยเชื่อว่าความร่วมมือระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารจะเป็นพลังสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย


