เนสท์เล่ฟ้อง"ประยุทธ-เฉลิมชัย" เรียก 577 ล้าน ปมขัดแย้งเนสกาแฟ

บริษัทเนสท์เล่ เอส.เอ. จากสวิตเซอร์แลนด์ เจ้าของเครื่องหมายการค้า “เนสกาแฟ” พร้อมด้วยเนสท์เล่ ประเทศไทย ได้ยื่นฟ้องนายประยุทธ และนายเฉลิมชัย มหากิจศิริ เรียกค่าเสียหาย 577 ล้านบาท จากกรณีขัดแย้งที่ส่งผลให้เนสท์เล่ต้องหยุดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ “เนสกาแฟ” ในประเทศไทยเป็นเวลา 8 วัน
 

เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง นัดไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างทั้งสองฝ่าย แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ ศาลจึงมีคำสั่งให้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี โดยจะเริ่มในวันที่ 9 มิถุนายน 2568

คดีนี้มีจุดเริ่มจากการที่เนสท์เล่ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2568 ขอให้เลิกกิจการ “บริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักส์ จำกัด” (QCP) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างเนสท์เล่และครอบครัวมหากิจศิริ ในสัดส่วนคนละ 50% หลังไม่สามารถตกลงเรื่องทิศทางของบริษัทได้ และ QCP ได้หยุดดำเนินกิจการตั้งแต่ 1 มกราคม 2568

เนสท์เล่ระบุว่า ต้องการให้มีการเลิกกิจการอย่างเป็นธรรม แบ่งทรัพย์สินให้ผู้ถือหุ้นทั้งสองฝ่ายนำไปใช้ตามความเหมาะสม พร้อมขอให้ศาลแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีเพื่อดูแลทรัพย์สินของ QCP ระหว่างรอคำตัดสิน

ย้อนรอย ‘เนสกาแฟ’ ถึงวันแตกหัก

เนสท์เล่เริ่มดำเนินธุรกิจในไทยร่วมกับครอบครัวมหากิจศิริตั้งแต่ปี 2533 โดยจัดตั้ง QCP เพื่อผลิตเนสกาแฟในไทย โดยแบรนด์ “เนสกาแฟ” และเทคโนโลยีการผลิตทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของเนสท์เล่ ส่วนครอบครัวมหากิจศิริเป็นผู้ร่วมทุนในฐานะผู้ถือหุ้นเท่านั้น

แม้เนสท์เล่จะเป็นผู้บริหารและดำเนินกิจการ QCP มาโดยตลอด แต่ความขัดแย้งเริ่มปะทุเมื่อไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับอนาคตของบริษัท ทำให้เนสท์เล่ตัดสินใจยุติความร่วมมือ และเดินหน้าใช้สิทธิของตนเองในการบริหารแบรนด์และการผลิตอย่างอิสระ

ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล โดยการไต่สวนฝ่ายจำเลยในคดีเลิกกิจการ QCP จะมีขึ้นวันที่ 26 มิถุนายน 2568

แม้จะแตกหักกับอดีตพันธมิตรทางธุรกิจ แต่เนสท์เล่ยืนยันว่า ยังมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจในไทยต่อไป โดยยังเป็นผู้รับซื้อเมล็ดกาแฟโรบัสต้ารายใหญ่ที่สุดของประเทศ และเตรียมลงทุนผลิตเนสกาแฟต่อด้วยตนเอง