posttoday

ส่งออกไทยแรงไม่ตก เม.ย. โต 10.2% ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10

26 พฤษภาคม 2568

พิชัย เผยส่งออก เม.ย. 68 โต 10.2% ต่อเนื่องเดือนที่ 10 ดัน 4 เดือนแรกโต 14% สะท้อนเศรษฐกิจเข้มแข็ง-ส่งออกยังเป็นพระเอก ท่ามกลางปัจจัยลบ ยันเร่งหารือภาษีสหรัฐเพิ่มแข่งขัน

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงภาวะการส่งออกไทยเดือนเมษายน 2568 ว่ามีมูลค่า 25,625.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 857,700 ล้านบาท ขยายตัว 10.2% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 แม้เผชิญความกังวลด้านมาตรการภาษีจากสหรัฐฯ ก็ตาม หากหักสินค้าน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย การส่งออกยังคงเติบโต 7.1% โดยกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมและเกษตรแปรรูปเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ การส่งออกยังขยายตัว 7.1% โดยกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมเกษตรเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ ส่งผลให้การส่งออกของไทยใน 4 เดือนแรก(ม.ค.-เม.ย.2568 )ของปี 2568 ส่งออกขยายตัวรวม 14.0%

 

ตลาดหลักยังโตต่อเนื่อง  สหรัฐฯ ขยายตัวแรงถึง 23.8% และเติบโตต่อเนื่อง 19 เดือน อาเซียน โต 7.8% ต่อเนื่อง 2 เดือน เอเชียใต้ โต 8.7% ต่อเนื่อง 7 เดือน สหภาพยุโรป โต 6.1% ต่อเนื่อง 11 เดือน ญี่ปุ่น โต 5.5% ต่อเนื่อง 2 เดือน จีน โต 3.2% ต่อเนื่อง 7 เดือน
 

"ตัวเลขการส่งออกที่ขยายตัวต่อเนื่อง สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทย แม้มีความกังวลเรื่องมาตรการภาษีจากสหรัฐฯ แต่ในเดือนเม.ย. ส่งออกยังโตได้ถึง 10.2% และเฉลี่ย 14.0% ในช่วง 4 เดือนแรกของปี ขณะที่ตลอด 7 เดือนแรกภายใต้การบริหารของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร การส่งออกขยายตัวถึง 12.5% ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เคยเห็นมานานหลายสิบปี"


สำหรับ แนวโน้มทั้งปี 2568 หากการส่งออกในช่วง 8 เดือนที่เหลือไม่โตเพิ่ม ไทยก็ยังรักษาอัตราเติบโตเฉลี่ยไว้ที่ เกิน 4% ซึ่งดีกว่าคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า 

 

สำหรับ การเจรจากับสหรัฐฯ ระบุว่ามีความคืบหน้า เป้าหมายคือการลดภาษีให้อยู่ในระดับเดียวกับประเทศคู่แข่ง เพื่อยกระดับความสามารถการแข่งขันของไทย ซึ่งคาดว่าจะเห็นผลภายใน 90 วัน ซึ่งเชื่อมั่นใจว่านโยบายการส่งออกที่ดำเนินอยู่ขณะนี้จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

นายพิชัย กล่าวถึงกรณีที่นายโมฮามัด ฮาซัน รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เสนอจัดการประชุมสุดยอดสมัยพิเศษระหว่างอาเซียนกับสหรัฐฯ เพื่อหารือประเด็นเกี่ยวกับภาษีนำเข้า และคาดหวังว่าจะสามารถจัดขึ้นได้ภายในปีนี้ โดยระบุว่า จากข้อมูลที่ได้รับ ท่าทีของสหรัฐฯ มีแนวโน้มให้ความสำคัญกับการหารือแบบทวิภาคีรายประเทศมากกว่าการเจรจาในรูปแบบพหุภาคี อย่างไรก็ตาม หากมีโอกาสจัดการประชุมร่วมกันในกรอบอาเซียน-สหรัฐฯ ไทยก็พร้อมให้ความร่วมมือเต็มที่ และเชื่อว่าทางมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนก็ต้องการผลักดันให้เกิดการหารือนี้เช่นเดียวกัน

 

ทั้งนี้ นายพิชัยเปิดเผยว่า ตลอดช่วงที่ผ่านมา ไทยได้มีการพูดคุยกับ คณะผู้แทนการค้าสหรัฐ (United States Trade Representative - USTR) อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเด็นด้านภาษี และล่าสุดได้รับสัญญาณเชิงบวกจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ซึ่งแสดงความเห็นชอบต่อหลักการในข้อเสนอที่ฝ่ายไทยได้ส่งไป แม้รายละเอียดจะยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้ เนื่องจากต้องเคารพมารยาทและข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายได้กำหนดไว้ในการเจรจา

ขอให้ใจเย็นๆ เราได้พูดคุยกับสหรัฐฯ แล้ว และยืนยันว่ากระทรวงพาณิชย์มีแผนงานในการเจรจาอย่างต่อเนื่อง ได้พบปะหารือกันหลายครั้ง ต้องขอบคุณกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ที่มีท่าทีเชิงบวก และเห็นด้วยในหลักการข้อเสนอของไทย เขาถือว่าแนวทางที่ไทยเสนอไปนั้น ‘ถูกต้องแล้ว’ แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการเจรจาอย่างเป็นทางการ เราจะยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดใดๆ ได้ จนกว่าการเจรจาจะแล้วเสร็จ ซึ่งสหรัฐฯ ก็มีโจทย์เฉพาะกับแต่ละประเทศตามข้อตกลงทางการทูต โดยคาดว่าเราน่าจะสามารถสรุปการเจรจากับสหรัฐฯ ได้ภายในกรอบเวลา 90 วัน

นอกจากนี้ นายพิชัยยังกล่าวถึงตัวเลข การนำเข้าและดุลการค้าของไทยในเดือนเมษายน 2568 ว่า แม้ไทยจะขาดดุลการค้ากว่า 100,000 ล้านบาท แต่เมื่อตรวจสอบรายละเอียด พบว่า 27% ของการนำเข้าเป็นสินค้าทุน และ 47% เป็นสินค้าขั้นกลาง ซึ่งถือเป็นสัญญาณเชิงบวก เพราะสะท้อนถึงการลงทุนใหม่ในภาคการผลิตและอุตสาหกรรม ไม่ใช่การนำเข้าเพื่อบริโภคภายในประเทศโดยตรง

 

นี่คือสิ่งที่สะท้อนถึงการเติบโตในอนาคต การที่มีการนำเข้าสินค้าทุนและวัตถุดิบในสัดส่วนสูง แปลว่าจะมีการผลิตและส่งออกเพิ่มขึ้นในระยะถัดไป ซึ่งน่าจะส่งผลให้ตัวเลขการส่งออกในเดือนต่อๆ ไปปรับตัวดีขึ้นตามการขยายตัวของการลงทุน

นายพูนพงษ์ นัยนาภาภรณ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่า สถานการณ์การส่งออกสินค้าเกษตรของไทยในช่วงเดือนเมษายน 2568 ว่า การส่งออกทุเรียนและข้าวไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยเฉพาะหน้า โดยเฉพาะสภาพอากาศและการแข่งขันจากตลาดต่างประเทศ

 

ในส่วนของ ทุเรียน ซึ่งเป็นหนึ่งในผลไม้ส่งออกสำคัญของไทย ปีนี้ได้รับผลกระทบจากฝนที่ตกต่อเนื่อง ทำให้ ผลผลิตออกสู่ตลาดช้ากว่าปกติ ส่งผลให้ปริมาณทุเรียนที่สามารถส่งออกได้ลดลง อย่างไรก็ตาม คาดว่าช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ ผลผลิตจะทยอยออกสู่ตลาดมากขึ้น และจะช่วยให้ยอดส่งออกกลับมาขยายตัวได้อีกครั้ง ขณะที่ ผลไม้อบแห้ง ยังคงรักษาการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

 

ด้าน การส่งออกข้าวไทย พบว่ายัง หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 โดยสาเหตุหลักมาจากการที่ อินเดีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก กลับมาทำการส่งออกข้าวขาวและข้าวนึ่งอีกครั้ง หลังจากที่เคยระงับการส่งออกในช่วงก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันด้านราคาจากข้าวอินเดียที่มีต้นทุนต่ำกว่า

ปัญหานี้สะท้อนถึงความจำเป็นที่ไทยจะต้องกลับมาทบทวน โครงสร้างการผลิตข้าวทั้งระบบ โดยเฉพาะในระดับต้นน้ำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ต้นทุนการผลิต พันธุ์ข้าวใหม่ ที่ตอบโจทย์ตลาดโลก และการยกระดับคุณภาพเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

ข่าวล่าสุด

เปิด Top 3 ดวงขึ้นแรงสุด 12 นักษัตร นักธุรกิจ ใครปัง รับปีม้าไฟ