ส่องปรากฏการณ์ "แบรนด์หรูยิ่งผงาด" แม้สงครามการค้าป่วนตลาดโลก
เจาะตลาดสินค้าหรูช่วง 5 ปีที่ผ่านมา Richemont แข็งแกร่งด้วยอัญมณีเจิดจรัส, Burberry เร่งพลิกเกม, Swatch ถูกนักลงทุนจับตา ชะตากรรมของแบรนด์รองในตลาดจะเป็นอย่างไร?
สำนักข่าว bloomberg รายงานว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โลกของสินค้า Luxury หรือสินค้าหรูหราได้เผยให้เห็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจคือ แบรนด์หรูที่แข็งแกร่งอยู่แล้วกลับยิ่งเติบโตและยึดครองตลาดได้มากขึ้น
ขณะที่แบรนด์ซึ่งไม่ใช่ระดับตัวท็อปต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักเพื่อความอยู่รอด แม้จะมีปัจจัยภายนอกอย่างสงครามการค้าที่ปั่นป่วนและรสนิยมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
แต่แนวโน้มของแบรนด์หรูที่ "ยิ่งแข็งแกร่งยิ่งผงาด" นี้ยังคงดำเนินต่อไป
Richemont: อัญมณีที่ยังคงเจิดจรัส
Cie Financiere Richemont SA เจ้าของอาณาจักรเครื่องประดับระดับโลกอย่าง Cartier และ Van Cleef & Arpels คือตัวอย่างที่ชัดเจนของความแข็งแกร่งนี้
ธุรกิจเครื่องประดับของพวกเขายังคงเติบโตอย่างโดดเด่น ด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้น 8% ในปีงบประมาณล่าสุด และเพิ่มขึ้นแตะ 11% ในไตรมาสสุดท้าย (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน)
กำไรจากการดำเนินงานตลอดทั้งปีก็เพิ่มขึ้น 6% ซึ่งนับเป็นส่วนสำคัญที่ขับเคลื่อน Richemont เพราะคิดเป็นสัดส่วนกว่า 54% ของยอดขายทั้งหมด
และต้องยอมรับว่าความนิยมในเครื่องประดับที่กำลังพุ่งสูงขึ้นก็เป็นส่วนสำคัญที่หนุนให้ Richemont รุ่งโรจน์เช่นกัน
โยฮัน รูเพิร์ท ประธานบริษัท เผยว่า Richemont ได้ประโยชน์จากการดำเนินนโยบายขึ้นราคาอย่างระมัดระวังกว่าคู่แข่งบางราย ซึ่งช่วยให้บริษัทจบปีด้วยเงินสดสุทธิมหาศาลกว่า 8.3 พันล้านยูโร (ประมาณ 3.3 แสนล้านบาท)
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าจะไม่มีความท้าทาย เพราะสินค้าบางชิ้นที่ได้รับความนิยมสูงอย่าง กำไล Cartier Love หรือสร้อยข้อมือ Van Cleef’s Alhambra ก็เริ่มมีความเสี่ยงที่จะถูกลอกเลียนแบบจนเกลื่อนตลาด
นอกจากนี้ Richemont ยังต้องรับมือกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะทองคำ
ในทางกลับกัน ธุรกิจนาฬิกาเฉพาะทางของ Richemont กลับประสบปัญหา ยอดขายลดลงถึง 13% ตลอดทั้งปี และอัตรากำไรจากการดำเนินงานหดตัวลงอย่างมากจาก 15.2% เหลือเพียง 5.3%
ซึ่งสะท้อนถึงอุปสงค์จากจีนที่ลดลง และกระแสความคลั่งไคล้ในนาฬิกาที่เริ่มแผ่วลงแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น นักวิเคราะห์จาก Vontobel Wealth Management ก็ประเมินว่า หากรวมยอดขายนาฬิกาของ Cartier และ Van Cleef (ซึ่งถูกจัดอยู่ในกลุ่มเครื่องประดับ) ยอดขายนาฬิกาโดยรวมลดลงเพียง 2% เท่านั้น
Burberry: กู้วิกฤตด้วยกลยุทธ์ใหม่
แม้ว่า โยฮัน รูเพิร์ท จะคาดการณ์ว่า ท้ายที่สุดแล้วความต้องการจากจีนจะกลับมา แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าที่อาจกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในสหรัฐฯ
โดยทั่วไปแล้ว เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ผู้บริโภคมักจะเลือกซื้อสินค้าคลาสสิกที่ไว้ใจได้ และหลีกเลี่ยงความเสี่ยงกับแบรนด์ใหม่ๆ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยให้แบรนด์อย่าง Cartier ได้เปรียบ
แต่ในขณะเดียวกัน ผู้บริโภคก็ยังคงต้องการ "ความแปลกใหม่" และสินค้าที่คุ้มค่าแก่การลงทุน ความต้องการสิ่งใหม่ๆ นี้เองที่ขับเคลื่อนให้ Miu Miu ของ Prada SpA กลายเป็นแบรนด์หรูที่เติบโตเร็วที่สุด
ด้วยราคาที่เข้าถึงได้ง่ายเมื่อเทียบกับการปรับขึ้นราคาครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรม สิ่งเหล่านี้อาจเป็นประโยชน์ต่อ Burberry Group Plc ที่เคยมีผลงานต่ำกว่ามาตรฐานให้กลับมาทำผลงานได้ดีขึ้น
ยอดขายสาขาเดิมของ Burberry ลดลง 6% ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ซึ่งแม้จะไม่ใช่ตัวเลขที่สวยหรูนัก แต่ก็ยังดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้มาก
โจชัว ชูลแมน ซีอีโอคนใหม่ของ Burberry กล่าวว่า บริษัทได้เปลี่ยนโฟกัสจากการเป็นแบรนด์หรู "สมัยใหม่" ไปสู่แบรนด์หรู "เหนือกาลเวลา" ในแบบฉบับอังกฤษ
โดยเน้นที่เสื้อนอกอย่าง เสื้อโค้ทเทรนช์ และ ผ้าพันคอ แต่เขากับ แดเนียล ลี ดีไซเนอร์ ก็ได้สร้างสรรค์ความแปลกใหม่ให้กับสินค้าอื่นๆ อย่าง ชุดว่ายน้ำ Burberry bikini ที่กำลังได้รับความนิยมและสร้างกระแสได้อย่างน่าสนใจ
Swatch Group: ถึงเวลาที่นักลงทุนจะเข้ามาเปลี่ยนแปลง?
บางครั้ง ช่องว่างระหว่างแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จกับแบรนด์ที่ล้มเหลวก็กว้างเสียจนสถานการณ์ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้อีก ซึ่งดูเหมือนจะเป็นกรณีที่เกิดขึ้นกับ Swatch Group AG ผู้ผลิตนาฬิการายใหญ่
สตีเวน วูด ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการลงทุนของ GreenWood Investors กำลังพยายามจะเข้าเป็นกรรมการบริหารในการประชุมประจำปีของผู้ผลิตนาฬิกาในวันพุธนี้
อย่างไรก็ตาม ภายใต้โครงสร้างของ Swatch ที่มีหุ้นสองประเภท ตระกูล Hayek ถือหุ้นจดทะเบียนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมีสิทธิในการออกเสียงมากกว่า
Swatch ได้แนะนำให้ผู้ถือหุ้นลงคะแนนเสียงคัดค้าน สตีเวน วูด ด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น การที่เขาไม่ใช่ชาวสวิส
และมีตัวแทนที่ได้รับการแต่งตั้งอยู่แล้วคือ ฌอง-ปิแอร์ ร็อธ อดีตประธานธนาคารแห่งชาติสวิส ซึ่งเป็นกรรมการมาตั้งแต่ปี 2010
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาว่าราคาหุ้นของ Swatch ร่วงลงถึง 25% ในปีที่ผ่านมา จนกลายเป็นหุ้นที่มีการขายชอร์ตมากที่สุดในยุโรป
และมูลค่ากิจการประมาณ 6.5 พันล้านฟรังก์สวิส กลับน้อยกว่ามูลค่าสินค้าคงคลังของบริษัทที่ 7.6 พันล้านฟรังก์เมื่อสิ้นปีที่แล้ว ทำให้ข้อโต้แย้งของบริษัทฟังดูไม่น่าเชื่อถือเท่าไรนัก
แต่เนื่องจากตระกูล Hayek ควบคุมสิทธิในการออกเสียงมากกว่า 40% สตีเวน วูด จึงต้องเจอศึกหนักในการได้รับการคัดเลือก
กระนั้น แม้เขาจะพ่ายแพ้ การเคลื่อนไหวของเขาก็ได้จุดประกายให้บริษัท และอาจรวมถึงบริษัทที่ตามหลังอื่นๆ เช่น Kering SA เจ้าของ Gucci
ต้องตกอยู่ภายใต้สายตาของนักลงทุนที่พร้อมจะเข้ามา "เขย่า" หากแบรนด์ที่ล้าหลังไม่สามารถลดช่องว่างกับผู้นำได้ ท้ายที่สุด อาจมีคนอื่นเข้ามาทำแทนให้เอง


