posttoday

ส่องปรากฏการณ์ "แบรนด์หรูยิ่งผงาด" แม้สงครามการค้าป่วนตลาดโลก

20 พฤษภาคม 2568

เจาะตลาดสินค้าหรูช่วง 5 ปีที่ผ่านมา Richemont แข็งแกร่งด้วยอัญมณีเจิดจรัส, Burberry เร่งพลิกเกม, Swatch ถูกนักลงทุนจับตา ชะตากรรมของแบรนด์รองในตลาดจะเป็นอย่างไร?

 

สำนักข่าว bloomberg รายงานว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โลกของสินค้า Luxury หรือสินค้าหรูหราได้เผยให้เห็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจคือ แบรนด์หรูที่แข็งแกร่งอยู่แล้วกลับยิ่งเติบโตและยึดครองตลาดได้มากขึ้น 

 

ขณะที่แบรนด์ซึ่งไม่ใช่ระดับตัวท็อปต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักเพื่อความอยู่รอด แม้จะมีปัจจัยภายนอกอย่างสงครามการค้าที่ปั่นป่วนและรสนิยมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

 

แต่แนวโน้มของแบรนด์หรูที่ "ยิ่งแข็งแกร่งยิ่งผงาด" นี้ยังคงดำเนินต่อไป

 

ส่องปรากฏการณ์ "แบรนด์หรูยิ่งผงาด" แม้สงครามการค้าป่วนตลาดโลก

 

Richemont: อัญมณีที่ยังคงเจิดจรัส

 

Cie Financiere Richemont SA เจ้าของอาณาจักรเครื่องประดับระดับโลกอย่าง Cartier และ Van Cleef & Arpels คือตัวอย่างที่ชัดเจนของความแข็งแกร่งนี้ 

 

ธุรกิจเครื่องประดับของพวกเขายังคงเติบโตอย่างโดดเด่น ด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้น 8% ในปีงบประมาณล่าสุด และเพิ่มขึ้นแตะ 11% ในไตรมาสสุดท้าย (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) 

 

กำไรจากการดำเนินงานตลอดทั้งปีก็เพิ่มขึ้น 6% ซึ่งนับเป็นส่วนสำคัญที่ขับเคลื่อน Richemont เพราะคิดเป็นสัดส่วนกว่า 54% ของยอดขายทั้งหมด

 

และต้องยอมรับว่าความนิยมในเครื่องประดับที่กำลังพุ่งสูงขึ้นก็เป็นส่วนสำคัญที่หนุนให้ Richemont รุ่งโรจน์เช่นกัน

 

 

โยฮัน รูเพิร์ท ประธานบริษัท เผยว่า Richemont ได้ประโยชน์จากการดำเนินนโยบายขึ้นราคาอย่างระมัดระวังกว่าคู่แข่งบางราย ซึ่งช่วยให้บริษัทจบปีด้วยเงินสดสุทธิมหาศาลกว่า 8.3 พันล้านยูโร (ประมาณ 3.3 แสนล้านบาท)

 

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าจะไม่มีความท้าทาย เพราะสินค้าบางชิ้นที่ได้รับความนิยมสูงอย่าง กำไล Cartier Love หรือสร้อยข้อมือ Van Cleef’s Alhambra ก็เริ่มมีความเสี่ยงที่จะถูกลอกเลียนแบบจนเกลื่อนตลาด

 

นอกจากนี้ Richemont ยังต้องรับมือกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะทองคำ

 

ในทางกลับกัน ธุรกิจนาฬิกาเฉพาะทางของ Richemont กลับประสบปัญหา ยอดขายลดลงถึง 13% ตลอดทั้งปี และอัตรากำไรจากการดำเนินงานหดตัวลงอย่างมากจาก 15.2% เหลือเพียง 5.3% 

 

ซึ่งสะท้อนถึงอุปสงค์จากจีนที่ลดลง และกระแสความคลั่งไคล้ในนาฬิกาที่เริ่มแผ่วลงแล้ว

 

แต่ถึงอย่างนั้น นักวิเคราะห์จาก Vontobel Wealth Management ก็ประเมินว่า หากรวมยอดขายนาฬิกาของ Cartier และ Van Cleef (ซึ่งถูกจัดอยู่ในกลุ่มเครื่องประดับ) ยอดขายนาฬิกาโดยรวมลดลงเพียง 2% เท่านั้น

 

ส่องปรากฏการณ์ "แบรนด์หรูยิ่งผงาด" แม้สงครามการค้าป่วนตลาดโลก

 

Burberry: กู้วิกฤตด้วยกลยุทธ์ใหม่

 

แม้ว่า โยฮัน รูเพิร์ท จะคาดการณ์ว่า ท้ายที่สุดแล้วความต้องการจากจีนจะกลับมา แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าที่อาจกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในสหรัฐฯ

 

 โดยทั่วไปแล้ว เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ผู้บริโภคมักจะเลือกซื้อสินค้าคลาสสิกที่ไว้ใจได้ และหลีกเลี่ยงความเสี่ยงกับแบรนด์ใหม่ๆ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยให้แบรนด์อย่าง Cartier ได้เปรียบ

 

แต่ในขณะเดียวกัน ผู้บริโภคก็ยังคงต้องการ "ความแปลกใหม่" และสินค้าที่คุ้มค่าแก่การลงทุน ความต้องการสิ่งใหม่ๆ นี้เองที่ขับเคลื่อนให้ Miu Miu ของ Prada SpA กลายเป็นแบรนด์หรูที่เติบโตเร็วที่สุด

 

ด้วยราคาที่เข้าถึงได้ง่ายเมื่อเทียบกับการปรับขึ้นราคาครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรม สิ่งเหล่านี้อาจเป็นประโยชน์ต่อ Burberry Group Plc ที่เคยมีผลงานต่ำกว่ามาตรฐานให้กลับมาทำผลงานได้ดีขึ้น

 

ยอดขายสาขาเดิมของ Burberry ลดลง 6% ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ซึ่งแม้จะไม่ใช่ตัวเลขที่สวยหรูนัก แต่ก็ยังดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้มาก 

 

โจชัว ชูลแมน ซีอีโอคนใหม่ของ Burberry กล่าวว่า บริษัทได้เปลี่ยนโฟกัสจากการเป็นแบรนด์หรู "สมัยใหม่" ไปสู่แบรนด์หรู "เหนือกาลเวลา" ในแบบฉบับอังกฤษ 

 

โดยเน้นที่เสื้อนอกอย่าง เสื้อโค้ทเทรนช์ และ ผ้าพันคอ แต่เขากับ แดเนียล ลี ดีไซเนอร์ ก็ได้สร้างสรรค์ความแปลกใหม่ให้กับสินค้าอื่นๆ อย่าง ชุดว่ายน้ำ Burberry bikini ที่กำลังได้รับความนิยมและสร้างกระแสได้อย่างน่าสนใจ

 

 

ส่องปรากฏการณ์ "แบรนด์หรูยิ่งผงาด" แม้สงครามการค้าป่วนตลาดโลก

 

Swatch Group: ถึงเวลาที่นักลงทุนจะเข้ามาเปลี่ยนแปลง?

 

บางครั้ง ช่องว่างระหว่างแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จกับแบรนด์ที่ล้มเหลวก็กว้างเสียจนสถานการณ์ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้อีก ซึ่งดูเหมือนจะเป็นกรณีที่เกิดขึ้นกับ Swatch Group AG ผู้ผลิตนาฬิการายใหญ่

 

สตีเวน วูด ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการลงทุนของ GreenWood Investors กำลังพยายามจะเข้าเป็นกรรมการบริหารในการประชุมประจำปีของผู้ผลิตนาฬิกาในวันพุธนี้ 

 

อย่างไรก็ตาม ภายใต้โครงสร้างของ Swatch ที่มีหุ้นสองประเภท ตระกูล Hayek ถือหุ้นจดทะเบียนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมีสิทธิในการออกเสียงมากกว่า

 

Swatch ได้แนะนำให้ผู้ถือหุ้นลงคะแนนเสียงคัดค้าน สตีเวน วูด ด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น การที่เขาไม่ใช่ชาวสวิส

 

และมีตัวแทนที่ได้รับการแต่งตั้งอยู่แล้วคือ ฌอง-ปิแอร์ ร็อธ อดีตประธานธนาคารแห่งชาติสวิส ซึ่งเป็นกรรมการมาตั้งแต่ปี 2010

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาว่าราคาหุ้นของ Swatch ร่วงลงถึง 25% ในปีที่ผ่านมา จนกลายเป็นหุ้นที่มีการขายชอร์ตมากที่สุดในยุโรป

 

และมูลค่ากิจการประมาณ 6.5 พันล้านฟรังก์สวิส กลับน้อยกว่ามูลค่าสินค้าคงคลังของบริษัทที่ 7.6 พันล้านฟรังก์เมื่อสิ้นปีที่แล้ว ทำให้ข้อโต้แย้งของบริษัทฟังดูไม่น่าเชื่อถือเท่าไรนัก

 

แต่เนื่องจากตระกูล Hayek ควบคุมสิทธิในการออกเสียงมากกว่า 40% สตีเวน วูด จึงต้องเจอศึกหนักในการได้รับการคัดเลือก 

 

กระนั้น แม้เขาจะพ่ายแพ้ การเคลื่อนไหวของเขาก็ได้จุดประกายให้บริษัท และอาจรวมถึงบริษัทที่ตามหลังอื่นๆ เช่น Kering SA เจ้าของ Gucci

 

ต้องตกอยู่ภายใต้สายตาของนักลงทุนที่พร้อมจะเข้ามา "เขย่า" หากแบรนด์ที่ล้าหลังไม่สามารถลดช่องว่างกับผู้นำได้ ท้ายที่สุด อาจมีคนอื่นเข้ามาทำแทนให้เอง

 

ข่าวล่าสุด

ญี่ปุ่นเตรียมเดินเครื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใหญ่ที่สุดของโลกอีกครั้ง หลังเหตุฟุกุชิมะ 15 ปี