posttoday

มองต่างมุม “G-Token” นวัตกรรมการเงินใหม่ หรือแค่ขายฝัน

15 พฤษภาคม 2568

ส่องความเห็นต่อ G-Token! วงการสินทรัพย์ดิจิทัลมองรับเทรนด์โลก เกิดประโยชน์ แนะรัฐสร้างความเข้าใจให้คนไทยพร้อมลงทุน ด้านนักวิชาการ มธ. ซัดให้ข้อมูลไม่ชัดเจน ขายฝัน

KEY

POINTS

  • ส่องความเห็นต่อ G-Token! นายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย มองช่วยเปิดทางประชาชนเข้าถึงการลงทุน ลดต้นทุนธุรกรรม หนุนนวัตกรรมการเงินใหม่ แนะสร้างความเข้าใจให้คนไทยพร้อมลงทุน
  • นักวิชาการ มธ. ซัดให้ข้อมูลไม่ชัดเจนโดยเฉพาะเงินหนุนหลัง ขายฝัน กำไรต่ำมีแค่ดอกเบี้ย 1-2% ไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม

เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างต่อเนื่องถึง “G-Token” หรือ Government Token พันธบัตรสินทรัพย์ดิจิทัลรูปแบบใหม่ หลังจาก คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ออก G-Token วงเงินทดลอง 5,000 ล้านบาท ถือเป็นครั้งแรกที่ภาครัฐใช้รูปแบบสินทรัพย์ดิจิทัลในการระดมทุนจากประชาชนโดยตรง

เป้าหมายการออก G-Token มี 2 ประการ คือ เพิ่มเครื่องมือระดมทุนของรัฐบาล และขยายโอกาสการเข้าถึงการลงทุนให้กับประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ที่มีเงินลงทุนน้อย ซึ่งที่ผ่านมาอาจไม่สามารถเข้าถึงตราสารหนี้ของรัฐ เช่น พันธบัตรรัฐบาล ได้อย่างทั่วถึง 

ดังนั้น “โพสต์ทูเดย์” ได้สอบถามความคิดเห็นและรวบรวมมุมมองจากทั้งด้านนักวิชาการ และนายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย ต่อแผนการออก G-Token ของรัฐบาลในครั้งนี้ 

“นเรศ เหล่าพรรณราย” นายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย เปิดเผยกับ “โพสต์ทูเดย์” ว่า G-Token ในแง่เทคโนโลยี ถือว่าไทยกำลังเดินตามนโยบายที่หลายชาติกำลังปรับปรุงระบบการเงินให้เข้ามาอยู่ในระบบดิจิทัลมากขึ้น อย่างในสิงคโปร์ มีการเสนอขายตราสารหนี้บนบล็อกเชนมาหลายปีแล้ว และล่าสุด สหรัฐฯ กำลังส่งเสริมให้มีการทำ Tokenization ผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้มาอยู่บนบล็อกเชน ถือได้ว่าเป็นนโยบายที่เหมาะสมกับยุคสมัย

ทั้งนี้ มองว่าการที่รัฐบาลออก G-Token จะเกิดประโยชน์ 2 ด้าน ในอนาคต คือ ผู้ที่มีเงินน้อยสามารถลงทุนในผลิตภัณฑ์การเงินที่ปกติจะต้องใช้เงินเริ่มต้นจำนวนมาก เช่น หุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล ได้ เพราะบล็อกเชนมีความสามารถในการกระจายหน่วย หรือ Fractional ให้ใช้เงินจำนวนไม่มากสามารถลงทุนได้

อีกด้าน คือ การยกระบบการเงินมาอยู่บนบล็อกเชนสามารถลดต้นทุนการทำธุรกรรมลงได้และยังส่งเสริมให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมการเงินในอนาคต 

ขณะเดียวกัน G-Token ออกมาภายใต้ พ.ร.บ.บริหารหนี้สาธารณะ และ พ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัล จึงมีกฎหมายรองรับทั้ง 2 ฉบับ ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำที่จะผิดกฎหมาย 

“แม้จะมีความคิดเห็นจากบางฝ่ายที่มองว่า G-Token อาจอาศัยช่องว่างทางกฎหมายในการออกขาย แต่การที่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.บริหารหนี้สาธารณะ ไม่น่าจะทำให้เกิดปัญหาการ Default เกิดขึ้นแต่อย่างไร”
 
อย่างไรก็ตาม แม้คนไทยจะมีอัตราการใช้งานการเงินบนระบบดิจิทัลอย่าง Prompt Pay ในระดับสูง แต่ยังมองว่าคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่มีความพร้อมในการลงทุนกับ G-Token แม้ว่ามีโอกาสที่ภาครัฐน่าจะใช้แพลตฟอร์มที่มีอยู่แล้วอย่างแอปเป๋าตังค์เป็นช่องทางลงทุนสะดวกที่สุด แต่การเป็นเทคโนโลยีใหม่และความเข้าใจของประชาชนที่มีต่อผลิตภัณฑ์การเงินนี้ยังค่อนข้างต่ำ ประกอบกับด้วยการมี Buzz Word อย่างดิจิทัลโทเคนอาจเป็นช่องทางที่มิจฉาชีพจะเข้ามาแสวงหาประโยชน์ได้

ดังนั้น รัฐบาลควรเป็นเจ้าภาพในการออกนโยบายและวางโครงสร้างพื้นฐานระบบการเงินดิจิทัล และเปิดให้เอกชนเข้ามาลงทุนและพัฒนาต่อ เพื่อส่งเสริมการลงทุนและสร้างนวัตรกรรมใหม่ โดยรัฐไม่จำเป็นต้องลงทุนเองทั้งหมดแต่ต้องวางโครงสร้างที่เอื้อต่อภาคเอกชนมีความมั่นใจ นอกจากนี้ รัฐบาลต้องสร้างความเข้าใจด้วยการขายผ่านระบบธนาคารปกติ ควบคู่ไปกับช่องทางใหม่ เพื่อให้สามารถระดมทุนผ่าน G-Token ได้ 

ด้าน “ศ. ดร.อาณัติ ลีมัคเดช” ผู้อำนวยการโครงการปริญญาโททางการเงิน และอาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวว่า รัฐบาลยังให้ข้อมูลเรื่องการออกสินทรัพย์ดิจิทัลโทเคน (Token) หรือ G Token (จี-โทเคน) ที่รัฐบาลคาดหวังให้เป็นเครื่องมือการระดมทุนรูปแบบใหม่ทดแทนการออกพันธบัตรออมทรัพย์ไม่ชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องการหนุนหลังจี-โทเคน ด้วยสินทรัพย์ (ABS) ซึ่งก็คือเงินบาทในจำนวนที่เท่ากับมูลค่าของโทเคน เพื่อสร้างหลักประกันให้ประชาชนมั่นใจว่า เมื่อใดที่ผู้ถือครอง จี-โทเคน ต้องการขาย เขาก็จะได้รับเงินบาทกลับคืนมาในทันที 

ตามข้อมูลที่รัฐบาลให้มาคือ จี-โทเคน ถูกสำรองหรือแบ็คอัพหรือ ABS โดยเงินบาท โดยจะนำร่องด้วยงบประมาณ 5,000 ล้านบาท นั่นหมายความว่าก็จะต้องมีเงินบาทจำนวน 5,000 ล้านบาท หนุนหลังเอาไว้ ซึ่งตามหลักการที่ควรจะเป็นจะต้องมีหน่วยงานกลาง คือบริษัทที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำหน้าที่เป็นศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (Custodian) ที่รับฝากเงินบาทเหล่านั้นไว้ เพื่อเป็นหลักประกันว่าตราบใดที่ประชาชนยังถือ จี-โทเคน อยู่จะยังคงมีเงินบาทในสัดส่วนที่เท่ากันเป็นหลักประกันอยู่เสมอ

“ประเด็นคือรัฐบาลยังไม่เคยพูดถึงเรื่อง Custodian เลย ทั้งที่เป็นสิ่งสำคัญที่การันตีว่าเงินของประชาชนจะมีความมั่นคงปลอดภัย มากไปกว่านั้นก็คือ ตามเจตจำนงของรัฐบาลคือต้องการนำเงิน จี-โทเคน ไปใช้จ่ายในการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือไปลงทุนภาครัฐในมิติอื่นๆ นั่นสะท้อนว่าจะไม่มีการสำรองเงินหรือแบ็คอัพ จี-โทเคน ด้วยเงินบาทหรือไม่ นี่คือสิ่งที่ยังเป็นคำถามและต้องการคำอธิบายเพิ่มเติมจากรัฐบาล” 

การที่รัฐบาลระบุว่าจะนำ จี-โทเคน เข้าไปอยู่ในลิสต์ของศูนย์ Exchange นั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยว่ารัฐบาลทำแบบนั้นด้วยเหตุผลใด ส่วนตัวมองไม่ออกว่า จี-โทเคน จะสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างไร เพราะนี่เป็นการนำเงินไปฝากเพื่อให้รัฐบาลนำเงินไปลงทุนต่างๆ ฉะนั้นสิ่งที่ประชาชนหรือผู้ถือครอง จี-โทเคน ได้รับในกรณีที่ถือครองครบเวลากำหนด อาจเป็นเพียงกำไรจากดอกเบี้ย 1-2 % เท่านั้น

“ผลกำไรจาก จี-โทเคน เป็นสิ่งที่ตายตัวและคาดการณ์ได้ ไม่ใช่การลงทุนในธุรกิจภาคเอกชนที่สามารถนำไปสร้างมูลค่าเพิ่ม หรือสร้างผลกำไรจากการลงทุนได้ ดังนั้นจึงมองว่าการกระทำเช่นนี้คือการขายฝันประชาชนให้รู้สึกว่านี่เป็นของใหม่ ให้ผู้ลงทุนที่ไม่มีความรู้นำมาเก็งกำไร-ซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน ซึ่งรัฐบาลไม่ควรฝึกให้ประชาชนทำเช่นนี้” 

หากยึดตามรายละเอียดที่ระบุไว้ในพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 การที่รัฐบาลออก จี-โทเคน ในลักษณะเช่นนี้ จะถือว่าเป็นโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Investment Token) เพราะเป็นโทเคนดิจิทัลที่ให้สิทธิในการร่วมลงทุนในโครงการและได้รับผลตอบแทนในรูปแบบต่างๆ ซึ่งจะดำเนินการได้อย่างถูกต้องก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และจะต้องนำเสนอผ่านผู้ให้บริการระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการเสนอขายโทเคนดิจิทัลที่ออกใหม่ (ICO Portal) เสียก่อน ทว่าจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่เห็นรายละเอียดเหล่านี้จากรัฐบาล แต่กลับมีการทำโฆษณาเพื่อประชาสัมพันธ์ออกไปมากมายว่าเป็นเหรียญที่อยู่ภายใต้การกำกับของ ก.ล.ต. ตรงนี้รัฐบาลต้องให้ข้อมูลเพิ่ม

“ตอนแรกที่เห็นการโฆษณาก็เข้าใจว่าจะมีใครมาหลอกลวงประชาชนอีกหรือไม่ เพราะปกติแล้วเหรียญที่อยู่ภายใต้การกำกับของ ก.ล.ต. จะต้องมีรายละเอียดว่าจะกระจายหรือขายอย่างไร จะเอาเงินไปทำอะไร และผู้ลงทุนจะได้อะไรบ้าง แต่ตอนนี้เรายังมองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้เลย เข้าใจรัฐบาลอยู่ว่า ในเเง่มุมดีของโครงการนี้ เขาก็พยายามที่จะผลักดันให้มันกลายเป็นนวัตกรรมทางการเงิน ซึ่งอันนี้ส่วนตัวรู้สึกเห็นด้วย เเต่ว่ามันจะได้คุ้มเสียหรือไม่ เมื่อเปรียบเทียบกับรายละเอียดต่างๆ ที่ได้อธิบายไปข้างต้น ยังเป็นสิ่งที่อยากให้รัฐบาลพิจารณา” 

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์-FWD คว้า 3 รางวัล Adman Awards 2025 ตอกย้ำเข้าถึงลูกค้าทุก Gen ด้วย "ประกันทรัพย์พอร์ตทุกวัย"