รัฐบาล สั่ง "แบงก์รัฐ" "หั่นกำไร" อุ้มธุรกิจรับศึกภาษี สหรัฐฯ
พิชัย เดินหน้ามาตรการด่วน สั่ง 7 แบงก์รัฐลดเป้ากำไร-ปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำ 1 แสนล้าน พยุงธุรกิจส่งออก ซัพพลายเชน และผู้ผลิตที่เจอคู่แข่งจีนถล่มราคาจากภาษีทรัมป์
นายพิชัย ชุณหวิชร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังการประชุมมอบนโยบายให้กับสถาบันการเงินของรัฐทั้ง 7 แห่ง ว่า รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังเร่งออกมาตรการรองรับผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งแม้ประเมินว่าไทยจะได้รับผลกระทบไม่มากไปกว่าประเทศอื่น แต่หากเตรียมมาตรการได้ทัน อาจพลิกเป็นโอกาสให้ธุรกิจไทยได้เปรียบ
นายพิชัยระบุว่า ผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ โดยเฉพาะกับภาคการส่งออก อาจทำให้เศรษฐกิจไทยสะดุดต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 2 ปี จำเป็นต้องวางมาตรการเชิงรุกอย่างเป็นระบบ โดยมอบนโยบายให้สถาบันการเงินของรัฐพิจารณาเร่งด่วน 2 ส่วน คือ ให้ความช่วยเหลือผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบโดยตรง และ ขยายความช่วยเหลือไปยังคู่ค้าหรือกลุ่มธุรกิจในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอี
อยากให้แต่ละธนาคารรัฐดูบทบาทของตนเองว่าเข้าไปช่วยจุดไหนได้บ้าง รัฐพร้อมสนับสนุนด้วยงบประมาณและนโยบายเสริม ทั้งนี้ควรขยายความช่วยเหลือไปยังกลุ่มเอสเอ็มอีในภาคอสังหาริมทรัพย์ และการท่องเที่ยวด้วย
หนึ่งในมาตรการสำคัญคือ โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) วงเงิน 100,000 ล้านบาท โดยธนาคารออมสิน ที่จะเปิดให้เฉพาะ 3 กลุ่มเป้าหมายเข้าร่วม ได้แก่ ผู้ส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ , ธุรกิจในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) และธุรกิจผู้ผลิตสินค้าที่ต้องมีการแข่งขันสูงกับสินค้านำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ ตลอดจนผู้ประกอบการ SMEs
นอกจากนี้ สถาบันการเงินของรัฐอื่นๆ เตรียมเสนอชุดมาตรการเสริม เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำในภาคเกษตรกรรม อสังหาริมทรัพย์ และการท่องเที่ยว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำรายละเอียดเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา
กระทรวงการคลังยังมีนโยบายให้สถาบันการเงินของรัฐปรับกลยุทธ์การดำเนินงาน โดย ลดเป้าหมายกำไรจากการทำธุรกิจ เพื่อจัดจัดสรรเม็ดเงินงบประมาณจัดทำโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นแก่ผู้ประกอบการ โดยสถาบันการเงินของรัฐทั้ง 7 แห่ง อยู่ระหว่างเตรียมดำเนินการตามนโยบาย ประกอบด้วย ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ SME D Bank ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือ EXIM Bank ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)
โดยกลไกของแบงก์รัฐภายใต้การกำกับของกระทรวงการคลังนี้จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการประคองเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤต และวางรากฐานการเติบโตอย่างยั่งยืน
ขณะเดียวกัน นายพิชัยยังกล่าวถึงความคืบหน้าการลดหนี้ครัวเรือน โดยปัจจุบันหนี้ครัวเรือนของไทยลดลงมาอยู่ที่ 90% ของ GDP และคาดว่าในวันที่ 19 พฤษภาคมนี้ สำนักงานสภาพัฒน์จะรายงานว่าหนี้ครัวเรือนจะลดลงต่อเนื่องเหลือประมาณ 86% ของ GDP เนื่องจากขนาดเศรษฐกิจขยายตัว
อย่างไรก็ตาม ยังมี หนี้เสีย (NPL) สูงถึง 1.2 ล้านล้านบาท หรือ 65% ของหนี้ครัวเรือน คิดเป็นผู้กู้กว่า 5.4 ล้านราย โดยเฉพาะในกลุ่มหนี้ต่ำกว่า 1 แสนบาท ซึ่งเป็นรายย่อยและไม่มีหลักประกัน
ธนาคารออมสินได้แก้ไขหนี้กลุ่มนี้แล้วกว่า 540,000 ราย และเตรียมช่วยเพิ่มอีก 400,000 ราย ขณะที่ ธ.ก.ส. แก้ไขแล้ว 250,000 ราย และมีแผนช่วยอีก 70,000 ราย
ทั้งนี้ ในระยะต่อไป รัฐบาลจะหารือเพิ่มเติมเพื่อออกมาตรการรองรับผลกระทบด้านแรงงาน โดยเฉพาะการรักษาตำแหน่งงานในภาคการส่งออกและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ ซึ่งจะพิจารณาในระยะที่สองของแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ


