คลัง แจงมูดี้ส์หั่น Outlook ไทยจากภาษีทรัมป์ ยันพื้นฐานศก.แกร่ง
มูดี้ส์ปรับ Outlook ไทยเป็น Negative จากผลสงครามภาษีสหรัฐฯ กระทบศก.โลก คาดเติบโตชะลอ ยันแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ 5 แสนล้านไม่กระทบการบริหารหนี้ พร้อมรับมือหนี้พุ่ง 70% ปี 70
นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ชี้แจงถึงการปรับมุมมองของมูดี้ส์ที่ลด Outlook ของประเทศไทยจาก "Stable" เป็น "Negative" ว่าเกิดจากปัจจัยภายนอกที่รัฐบาลไทยไม่สามารถควบคุมได้ โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ ซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย เนื่องจากความไม่แน่นอนจากความขัดแย้งการค้าระหว่างประเทศและสถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัว แม้จะยังไม่สามารถประเมินระยะเวลาและความรุนแรงได้ แต่มีผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงไทยด้วย
โดย สบน.ขอเน้นย้ำว่า รัฐบาลดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคอย่างรอบคอบ พร้อมเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบจากความไม่แน่นอนด้านการค้าและการลงทุนทั้งระยะสั้นและยาว โดยเร่งดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างรายได้ภาครัฐและแผนเข้าสู่สมดุลการคลังในระยะปานกลาง ทั้งนี้ ยืนยันเศรษฐกิจไทยยังมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งจากเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูง ภาคการส่งออกที่หลากหลาย และการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นายพชรกล่าวว่า การปรับ Outlook นี้ไม่เกี่ยวข้องกับการที่รัฐบาลมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้งบประมาณ 5 แสนล้านบาท และยังยืนยันว่าไม่ส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการหนี้สาธารณะในระยะยาว แม้ IMF จะปรับลดอัตราการเติบโตเศรษฐกิจโลก แต่ตลาดการเงินไทยยังคงมีเสถียรภาพ โดยตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นบวกและอัตราแลกเปลี่ยนไม่ได้รับผลกระทบ
สำหรับการบริหารหนี้สาธารณะ นายพชรกล่าวว่า ถึงแม้จะมีการปรับ Outlook ของประเทศไทย แต่การคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังคงขยายตัวที่ 2% ซึ่งยังไม่กระทบต่อการจัดการหนี้ ทั้งนี้แผนการบริหารหนี้สาธารณะในระยะยาวยังสามารถดำเนินการได้โดยไม่เกินเพดานหนี้สาธารณะที่ 70% ต่อจีดีพีในปี 2570 แต่หากเศรษฐกิจเติบโตช้าลงมากกว่า 1.5% ก็อาจทำให้หนี้สาธารณะสูงขึ้นเล็กน้อย
นายพชรกล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะจะยังคงติดตามสถานการณ์และประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด โดยแผนการกู้เงินในอนาคตจะต้องพิจารณาให้ดีว่าการลงทุนจะสามารถเพิ่มการเติบโตของเศรษฐกิจและสร้างผลตอบแทนได้หรือไม่ โดยไม่มีสัญญาณที่ต้องขยายเพดานหนี้ในระยะนี้ แต่การจัดเก็บรายได้จะเป็นปัจจัยสำคัญในการดูแลความเสถียรภาพทางการคลัง
นอกจากนี้ การปรับ Outlook ของประเทศไทยจาก Stable เป็น Negative ของมูดี้ส์ในครั้งนี้ถือเป็นการปรับลดครั้งแรกในรอบ 17 ปี โดยในอดีตประเทศไทยเคยถูกปรับ Outlook ลงจาก Stable เป็น Negative ในช่วงปี 2551 เนื่องจากวิกฤตการเมืองภายในประเทศและวิกฤตเศรษฐกิจโลก ก่อนที่จะได้รับการปรับขึ้นเป็น Stable และ Positive ตามลำดับในช่วงหลายปีที่ผ่านมา


