“คลัง” รับจีดีพีปีนี้ โตต่ำกว่า 3% หวังกนง.ลดดอกเบี้ยช่วย
ลวรณ ปลัดคลัง ยอมรับGDP ปี68 โตต่ำกว่า 3% หลังรับผลกระทบจากสงครามการค้า หวังประชุมกนง.พรุ่งนี้ลดดอกเบี้ยช่วย แจงข่าวการกู้เงิน 5 แสนล้านบาทเป็นแค่สมมติฐาน
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ยอมรับว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของประเทศไทยในปี 2568 อาจต่ำกว่า 3% หลังจากที่ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปีนี้จาก 2.9% เหลือ 1.6% โดยยืนยันว่าเป็นเรื่องที่ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินเศรษฐกิจของไทยในช่วงครึ่งปีหลัง และการคาดการณ์นี้อาจจะยังไม่สะท้อนภาพที่ชัดเจนถึงแนวโน้มของเศรษฐกิจในอนาคต
จีดีพีปีนี้ โตถึง 3% ก็คงจะยากแล้ว แต่สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือ ต้องทำอย่างไรให้จีดีพีที่ต่ำกว่า 3% น้อยที่สุด วันนี้จะเร็วเกินไปที่จะบอกว่าเหลือ 1% 0.5% หรือ 1.5% สุดท้ายจริงๆเราจะโดนภาษีเท่าไร สินค้าอะไรบ้าง เป็นเรื่องของทีเจรจากกับจะต้องไปพูดคุยกับสหรัฐ
นายลวรณ กล่าวต่อว่า ถึงแม้เศรษฐกิจปีนี้จะมีแนวโน้มเติบโตต่ำ แต่กระทรวงการคลังยังคงพยายามที่จะรักษาการขยายตัวของจีดีพีให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ พร้อมกับเชื่อมั่นว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะนำปัจจัยรอบด้านมาพิจารณา และมีมาตรการที่เหมาะสมในการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการปรับลดดอกเบี้ยที่อาจจะช่วยให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นได้
ในวันที่ 30 เมษายนนี้ การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะต้องพิจารณาเรื่องของนโยบายการเงินอย่างรอบคอบ รอบด้านทุกมิติ โดยเฉพาะในแง่ของการชะลอตัวของการส่งออกที่มีแนวโน้มลดลงจากผลกระทบของสงครามการค้า และการปรับตัวของนโยบายภาษีของสหรัฐ เชื่อว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินจะมีข้อมูลที่ครบถ้วนในการตัดสินใจเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ในเวลานี้ เชื่อว่ากนง.จะพิจารณาภาพรวมเศรษฐกิจอย่างครบถ้วน ทั้งในเรื่องการค้าที่มีแนวโน้มลดลงแน่นอน และการส่งออกที่ชะลอตัวจากผลกระทบของนโยบายภาษีของสหรัฐ นอกจากนี้ นโยบายการเงินควรทำงานควบคู่กับนโยบายการคลัง เพื่อให้มีความสมดุล และเชื่อว่ากนง.จะใช้ข้อมูลอย่างครบถ้วนในการพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยให้เหมาะสม
สำหรับการแถลงจีดีพีของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในวันที่ 1 พฤษภาคม จะเป็นการเผยตัวเลขของการขยายตัวเศรษฐกิจในไตรมาสแรกปีนี้ รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต แต่ยังยอมรับว่า การประเมินจีดีพีทั้งปีในตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจน เนื่องจากการปรับเปลี่ยนในหลายมิติ เช่น ภาษีจากการเจรจากับสหรัฐ และสถานการณ์ทางการค้า ซึ่งยังไม่สามารถประมาณการได้อย่างแม่นยำ
นายลวรณ ยังกล่าวถึงกระแสข่าวที่กระทรวงการคลังจะกู้เงิน 500,000 ล้านบาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ว่า ยืนยันว่าเรื่องนี้ยังเป็นเพียงสมมติฐานเท่านั้น ที่ตั้งเป็นตุ๊กตา และไม่ได้มีการตัดสินใจว่าจะดำเนินการจริงหรือไม่ หากเป็นการกู้เงินในจำนวนดังกล่าวจริง ก็จะทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น 3% ต่อจีดีพี แต่กระทรวงการคลังยังอยู่ระหว่างการประเมินว่า จะใช้วงเงินดังกล่าวไปทำอะไร และจะดำเนินการในโครงการใดบ้าง หากวงเงินมีเพียงพอในโครงการที่ดำเนินการอยู่ อาจไม่จำเป็นต้องกู้เงินเพิ่มเติม
ส่วนการขายหุ้นของรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังถืออยู่นั้น ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา และยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะทำเมื่อไหร่ แต่ได้มีแนวทางในการพิจารณาแล้ว ขึ้นอยู่กับการประเมินความเหมาะสมในช่วงเวลาที่จะดำเนินการ”
นายลวรณ กล่าวย้ำว่า สิ่งสำคัญที่กระทรวงการคลังจะต้องดำเนินการในช่วงนี้คือ การรับมือกับการค้าของโลก และการปรับปรุงประเทศไทยให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยต้องมีการเตรียมความพร้อมสำหรับการเจรจากับสหรัฐ และภาคการค้าของไทยที่จะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน


