คลัง เปิดตัวโครงการ "Financial Hub" ยก 8 ธุรกิจดันไทยสู่ฮับการเงินระดับโลก
เผ่าภูมิ รมช. คลัง เปิดตัวโครงการ "ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน" ชู "4 หลักการ 8 ธุรกิจ" ขับเคลื่อนไทยสู่ศูนย์กลางการเงินทันสมัยระดับสากล ได้รับความสนใจและเสียงตอบรับจากนักลงทุน ทั้งในและต่างประเทศจำนวนมาก
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงการคลังได้จัดเปิดตัวโครงการศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (Financial Hub) ให้แก่บริษัทด้านการเงินชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ ทั้งสถาบันการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทประกันภัย รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจ Digital Asset รวมทั้งสิ้นกว่า 100 บริษัท ภายใต้หัวข้อ “Pioneering Progress: Thailand’s Financial Hub Blueprint" ได้รับความสนใจอย่างมากและมีการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
ในงานดังกล่าว นายเผ่าภูมิ ได้นำเสนอหลักการในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็น Financial Hub โดยเน้นย้ำว่าโครงการ Financial Hub ไม่ได้เป็นเพียงแค่การยกร่างกฎหมาย แต่เป็นความตั้งใจจริงของรัฐบาล ที่ต้องการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับโลก
โดยหลายหน่วยงานได้ร่วมกันศึกษาและออกแบบ Financial Hub ของไทยจากการนำแนวปฏิบัติที่ดีในระดับสากลมาผสมผสานกับความได้เปรียบในการแข่งขันของประเทศไทย โดยคำนึงถึงการสร้างระบบนิเวศทางการเงินที่มีความโปร่งใส การกำกับดูแลที่มีมาตรฐานและเอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรม รวมทั้งการส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ
การพัฒนาโครงการ Financial Hub ของไทย ยึดมั่น 4 หลักการสำคัญ คือ
1.สิทธิประโยชน์ที่โปร่งใสและสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก โดยกำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษี
ที่ชัดเจน พัฒนากระบวนการจดทะเบียนประกอบธุรกิจให้มีความสะดวกรวดเร็ว อำนวยความสะดวกให้การเข้าเมืองของผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ เพื่อลดภาระด้านเอกสารและการติดต่อกับภาครัฐ
2. มาตรฐานการกำกับดูแลที่ทันสมัยและคล่องตัว ผ่านการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (OSA) เพื่อให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ
3. การพัฒนาทรัพยากรบุคคลของประเทศไทยให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบธุรกิจ
โดยกำหนดให้มีการร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการและสถาบันการศึกษาชั้นนำในการยกระดับทักษะของแรงงานในประเทศ
4. แนวทางที่เหมาะสมในการส่งเสริมการเข้าถึงตลาดในประเทศ (Market Participant) โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจสามารถให้บริการแก่ผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (Non-resident) เพื่อพัฒนาบริบทของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบธุรกิจเข้าถึงตลาดในประเทศได้ในบางกรณี
ตำแหน่งที่ตั้งของประเทศไทยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เติบโตอย่างรวดเร็วและมีการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและการเงินกับโลกอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น โครงการ Financial Hub จะช่วยให้ประเทศไทยเป็นประตูสู่การลงทุนระหว่างภูมิภาคและก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการลงทุนระหว่างประเทศในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงเพราะประเทศไทยมีต้นทุนในการประกอบธุรกิจที่แข่งขันได้ แต่ยังเป็นเพราะประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศที่เอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรม โดยเฉพาะในด้านการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) และสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets) ที่ประเทศอื่น ๆ ยากที่จะแข่งขันได้
พร้อมกันนี้ นายเผ่าภูมิ ได้เชิญชวนบริษัทด้านการเงินระดับโลก ผู้ประกอบการในประเทศ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Financial Hub ใน 8 ประเภทธุรกิจ ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวจะไม่เพียงแต่ผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับสากล แต่จะเป็นการยกระดับบทบาทของไทยในฐานะผู้นำในระบบการเงินสมัยใหม่ในทวีปเอเชียและทั่วโลก
ปัจจุบันร่างกฎหมาย Financial Hub อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่อนาคตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและยั่งยืนสำหรับระบบการเงินของไทย และเป็นโอกาสในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างพันธมิตรในระดับสากลและผู้มีส่วนร่วมในประเทศ เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่เปี่ยมไปด้วยโอกาสและประโยชน์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของทุกฝ่าย
ทั้งนี้ ตามที่กระทรวงการคลังได้จัดทำร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (Financial Hub) เพื่อส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับโลก โดยมุ่งหมายดึงดูดการลงทุนจากทั้งหมด 8 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่
- ธุรกิจธนาคารพาณิชย์
- ธุรกิจบริการการชำระเงิน
- ธุรกิจหลักทรัพย์
- ธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
- ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล
- ธุรกิจประกันภัย
- ธุรกิจนายหน้าประกันภัยต่อ
- ธุรกิจทางการเงินหรือธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องหรือสนับสนุนธุรกิจทางการเงินตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด


