คลัง คาดตั้งกองทุน Thai ESG ใหม่ รองรับ LTF ครบกำหนด 1.8 แสนล้าน ภายในมี.ค.68
ปลัดคลัง เผย ตั้งกองทุน Thai ESG ใหม่ เพื่อรองรับนักลงทุน LTF ที่ครบกำหนดอายุราว 1.8 แสนล้านบาท คาดชัดเจนในไตรมาส 1 ปี 2568 ชี้ช่วยกระตุ้นการลงทุนในตลาดหุ้น พัฒนาเศรษฐกิจระยะยาว มั่นใจผลักดันจีดีพีปีนี้ โตแตะ 3-3.5% อยู่ในวิสัยที่ทำได้
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้าการจัดตั้งกองทุน Thai ESG ใหม่ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการอย่างเร่งด่วน โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนในไตรมาส 1 ปี 2568 ซึ่งกองทุน Thai ESG ใหม่นี้จะถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อรองรับนักลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่กำลังจะครบกำหนดอายุ โดยขณะนี้มีวงเงินเหลืออยู่ประมาณ 1.8 แสนล้านบาท และนักลงทุนสามารถลงทุนต่อเนื่องจากสิ้นปีที่ผ่านมา ซึ่ง LTF มีกำหนดครบกำหนดอายุราว 2.4 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ กองทุน Thai ESG ใหม่จะจำกัดการลงทุนเฉพาะนักลงทุน LTF เท่านั้น ส่วนผู้ลงทุนใหม่จะไม่สามารถลงทุนในกองทุนนี้ได้ แต่สามารถลงทุนในกองทุน LTF ได้ตามปกติ ซึ่งกระทรวงการคลังมั่นใจว่า การเปลี่ยนแปลงจากกองทุน LTF เป็นกองทุน Thai ESG จะช่วยกระตุ้นการลงทุนในตลาดและเสริมสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว
ขณะนี้กองทุน Thai ESG ใหม่อยู่ระหว่างการออกแบบ รวมทั้งสิทธิประโยชย?ทางภาษี ซึ่งรูปแบบของกองทุนอาจจะไม่เหมือนกับกองทุนที่มีอยู่ในปัจจุบัน การออกแบบและสิทธิประโยชน์ของกองทุนจะเป็นไปตามมาตรการที่กำลังออกแบบ คาดว่าเราจะเห็นความชัดเจนภายในไตรมาส 1/68 หรือมี.ค.นี้
อย่างไรก็ดี ในส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าสิทธิประโยชน์ในกองทุน Thai ESG อาจจะไม่จูงใจนักลงทุนได้เท่ากับ LTF นั้น มองว่าอยากให้พิจารณาจากข้อมูลและข้อเท็จจริงเป็นหลัก โดยยอดการซื้อ LTF ในแต่ละปี จะอยู่ที่ราว 2.5-3 หมื่นล้านบาท ขณะที่ยอดการซื้อกองทุน Thai ESG อยู่ที่ 2.7 หมื่นล้านบาท ถือว่าใกล้เคียงกัน ดังนั้นจึงต้องยอมรับว่ากองทุน Thai ESG แทน LTF ได้ การที่จะบอกว่า Thai ESG ไม่จูงใจก็คงจะไม่ได้เช่นกัน
ทั้งนี้ การสนับสนุนการลงทุนในตลาดหุ้น ผ่านการส่งเสริมกองทุน ESG ใหม่ เชื่อว่าจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยกระตุ้นการลงทุนระยะยาว และส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ส่วนการพัฒนากฎหมายเพื่อควบคุมตลาดหุ้น ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการปรับปรุงหลักเกณฑ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยคาดว่าจะมีการประกาศมาตรการใหม่ในเร็ว ๆ นี้ เพื่อส่งเสริมการลงทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ปลัดกระทรวงการคลังยังมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะเติบโตได้มากกว่า 3% โดยขณะนี้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้เตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งการร่วมมือจากภาครัฐและเอกชนจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมถึงต้องเร่งการลงทุน หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (BOI) เข้ามาจำนวนมาก ซึ่งตรงนี้เป็นโจทย์ของ BOI ที่ต้องไปดูว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้เกิดการลงทุนจริง
และการกระตุ้นการเบิกจ่ายเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตตามเป้าหมายที่ 3.5%
การผลักดันให้เศรษฐกิจปีนี้โตได้ 3-3.5% ถือเป็นเป้าหมายที่ทาท้ายมากแต่อยู่ในวิสัยที่ทำได้ แต่เราต้องมีแผนกระตุ้นที่เหมาะสม ด้วยการร่วมมือทุกภาคส่วน ถ้าไม่ทำอะไรเลยจีดีพีจะอยู่ที่ 2.8-3%


