“สารัชถ์ ” หนุนแซนด์บอกซ์บิตคอยน์ ภูเก็ต รับนโยบาย ทรัมป์ 2.0 ป้องเงินไหลออก
“สารัชถ์ รัตนาวะดี” ชี้สหรัฐฯเตรียมประกาศนโยบายหนุนบิตคอยน์เต็มสูบ ใครไม่ทำ เงินไหลออกนอกประเทศแน่ หนุนแซนด์บอกซ์ ภูเก็ต หากขยายถึงการซื้อบ้านและรถ ช่วยดันไทยสู่บล็อกเชน ฮับ ด้านพลังงาน จ่อปิดดีล M&A โรงไฟฟ้าก๊าซในสหรัฐฯ เบื้องต้นระดับ 1,000 เมกะวัตต์
KEY
POINTS
- สหรัฐฯหนุนบิตคอยน์เต็มสูบ ใครไม่ทำ เงินไหลออกนอกประเทศแน่
- แซนด์บอกซ์ ภูเก็ต หากต่อยอดถึงการซื้อบ้าน-รถ ดันไทยสู่บล็อกเชน ฮับ
- จ่อปิดดีล M&A โรงไฟฟ้าก๊าซในสหรัฐฯ เบื้องต้นระดับ 1,000 เมกะวัตต์
“สารัชถ์ รัตนาวะดี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS หนึ่งในศิษย์เก่าคนสำคัญจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ ขึ้นสัมมนาในงาน "Chula Thailand Presidents Summit 2025" ครั้งแรกของการรวมตัวของสุดยอดผู้นำองค์กรระดับประเทศ ที่รวมนิสิตเก่าจุฬาฯ ในฐานะผู้นำองค์กรชั้นนำของประเทศทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งประสบความสำเร็จในการบริหารงานทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติ หัวข้อ Future Thailand : Energizing Society โดยเขาได้เล่าถึงเส้นทางธุรกิจที่เริ่มจากธุรกิจพลังงานเมื่อ 30 ปี ก่อน จนสยายปีกไปสู่ธุรกิจต่างๆที่หมุนตามเทรนด์อนาคต ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสื่อสาร ดาวเทียม ดาต้า เซ็นเตอร์ และวงการคริปโท ไว้อย่างน่าสนใจ
“สารัชถ์” กล่าวถึงการสนับสนุนนโยบายสเตเบิลคอยน์ ที่จะเริ่มนำร่องทดลองใช้พื้นที่ภูเก็ต เป็นแซนด์บอกซ์ในการใช้บิตคอยน์จับจ่ายใช้สอยว่า “หากมีการพัฒนาต่อไปถึงการซื้อบ้าน ซื้อรถ ภูเก็ตจะเกิดฟินเทค เกิดคริปโท ฮับ และกลายเป็นบล็อกเชน ฮับ เพราะการซื้อขายผ่านรูปแบบนี้ถูกกว่าธนาคาร ” เขาเล่าต่ออีกว่า ที่ภูเก็ตมีต่างชาติอยู่จำนวนมาก สหรัฐอเมริกากำลังประกาศหนุนการใช้เงินบิตคอยน์ หากประเทศไหนไม่ทำ เงินไหลออกนอกประเทศแน่นอน
เขายังเล่าย้อนไปถึงการเป็นพันธมิตรกับไบแนนซ์เพื่อทำธุรกิจในประเทศไทยด้วยว่า เป็นเรื่องที่ต้องทำ เพราะคริปโท มีคนพูดถึงมาก ถ้าเราไม่เกี่ยวข้องด้วยจะลำบาก
คริปโทเคอร์เรนซีและบิตคอยน์ มีคนพูดถึงนานมากแล้ว ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจมากมาย จนถึงจุดหนึ่งคิดว่าเมื่อมีการพูดมากขนาดนี้และมีคนสนใจ หากไม่เข้าไปเกี่ยวข้องก็อาจจะลำบากจึงพยายามหาพาร์ทเนอร์ที่ดี เกิดการลงทุนใน กัลฟ์ ไบแนนซ์
ทุกธุรกิจที่ “สารัชถ์” สยายปีกเข้าไปลงทุน คือ ธุรกิจที่เป็นเทรนด์อนาคต โดยเขาเล่าย้อนไปเมื่อ 30 ปี ก่อน ถึงธุรกิจแรกเริ่มในธุรกิจพลังงานว่า โรงไฟฟ้าถ่านหิน เป็นโรงไฟฟ้าที่นิยมมากที่สุดเมื่อ 30 ปีก่อน เพราะราคาถูกที่สุด
แม้รัฐบาลให้การสนับสนุนค่อนข้างดี แต่เมื่อทำจริงๆ แล้วจะเกิดแรงต่อต้านจากประชาชนรอบข้าง โดยกัลฟ์เริ่มทำที่ประจวบคีรีขันธ์ ใช้เวลาสร้างถึง 7 ปี ใน 4 รัฐบาล จากนั้นเมื่อเปลี่ยนผ่านมาสู่ก๊าซธรรมชาติที่มีบทบาทมากขึ้น ซึ่งความมั่นคงในสมัยนั้น บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เป็นผู้เล่นหลัก ลงทุนด้านท่อปิโตรเคมีดึงก๊าซจากอ่าวไทย รับส่งจากทั้งเมียนมาร์ และอินโดนีเซีย เป็นต้น
เมื่อก๊าซฯ กลายเป็นแปรตัวสำคัญและมีการพัฒนาทางเทคโนโลยีสามารถอัดเหลวและส่งได้จากทั่วโลกโดยขนส่งทางเรือ เพราะด้วยประเทศไทยโชคร้ายที่ไม่ค่อยมีเชื้อเพลิงอื่นในการผลิตไฟฟ้า จะเริ่มทำเขื่อนต่างๆ แต่ก็โดนต่อต้านเยอะในช่วงนั้นซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตมาก ครั้นราคาก๊าซฯ ค่อนข้างผันผวนมากช่วงสงครามรัสเซีย-ยูเครน ช่วงสมัยนั้นมีคนชวนทำโซลาร์และวินซึ่งต้นทุนก็สูงมากถึง 10-20 บาท ทำให้ไม่คุ้ม จนปัจจุบันลดลงเหลือ 2-3 บาท
เขาเล่าว่า มีหลายคนบอกว่าให้พลิกวิกฤตเป็นโอกาสในช่วงโควิด ตนได้เดินทางไปต่างประเทศได้ลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเลขนาด 464.8 เมกะวัตต์ในประเทศเยอรมนี ส่วนในสหรัฐ ได้ซื้อโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม Jackson ในสหรัฐฯ ขนาด 1,200 เมกะวัตต์ ส่วนอังกฤษได้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งทะเลระยะเริ่มต้น ขนาดกำลังการผลิต 1,500 เมกะวัตต์ เป็นต้น
การที่กัลฟ์ไปลงทุนต่างประเทศเยอะ เพราะต้องการดูว่าจะสามารถพัฒนาพลังงานอย่างไร รวมถึงความต้องการของการใช้พลังงานสะอาดที่มีมากขึ้น และเทคโนโลยีก็ดีขึ้น อย่างเช่นแผงโซลาร์สมัยก่อนผลิตไฟได้ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ต่างจากสมัยนี้ที่ดีขึ้นมาก
สำหรับแนวโน้มการลงทุนธุรกิจปีนี้ การลงทุนต่างประเทศ จะมีเพิ่มเติมแน่นอน การที่ ทรัมป์ สนับสนุนฟอสซิล ซึ่งกัลฟ์มีการลงทุนที่สหรัฐอยู่แล้ว จึงมีแนวโน้มจะปิดดีลใหญ่ลักษณะ M&A โรงไฟฟ้าก๊าซฯ เบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 1,000 เมกะวัตต์
ส่วนแนวคิดการทำโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ยอมรับว่าเป็นเรื่องใหม่ ซึ่งหลายประเทศ ได้พัฒนาเยอะ สำหรับประเทศไทย มองว่า “โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นเรื่องของรัฐบาล เอกชนไม่ควรลงทุน” ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นว่าการลงทุนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต่างประเทศก็ล่าช้าเยอะ ดังนั้นจึงมองว่ารัฐบาลเหมาะที่สุดในการลงทุน
แล้วเหตุใด เขาจึงตัดสินใจซื้อกิจการโทรคมนาคมทั้ง อินทัช และ AIS สารัชถ์ เล่าว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงมากขึ้น ทำให้ธุรกิจหลายอย่างต้องปรับตัว รวมถึงกัลฟ์ก็ได้ลงทุนทำท่าเรือคอนเทนเนอร์ที่แหลมฉบังด้วย เพราะสมัยก่อนจะใช้บุคลากรควบคุมเยอะ แต่ปัจจุบันใช้หุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและต้นทุนถูกลงค่อนข้างมาก
อนาคตธุรกิจต้องเกี่ยวข้องกับข้อมูล ข้อมูลจะมีมากขึ้น ทำให้ต้องมองหาพาร์ทเนอร์ที่ประสบความสำเร็จ และบังเอิญเป็นช่วงโควิดที่เกิดขึ้น ราคาหุ้นในตลาดค่อนข้างจะดี จึงดูหลายบริษัท บางบริษัทที่ซื้อก็เจ๊งไปบ้าง ซึ่ง AIS เป็นบริษัทที่ดี ผู้บริหารดี มีทั้งเทคโนโลยี 5G และ ฟิกซ์บรอดแบนด์ เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า ในอดีตคนมองว่าเทเลคอมเป็นเรื่องของธุรกิจโทรศัพท์มือถือ แต่ปัจจุบัน เทเลคอมคือธุรกิจเกี่ยวกับดิจิทัล
เมื่อถามถึงสถานการณ์เทรดวอร์ สารัชถ์ ให้ความเห็นว่า วันนี้ (3 ก.พ.2568) เปิดตลาดมาหุ้นตก 40 จุด “อย่าลืมรับซื้อนะครับ” เขากล่าวด้วยอารมณ์ขัน พร้อมอธิบายเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยไม่ได้รับผลกระทบจากภาคการส่งออก เพราะประเทศไทยส่งสินค้าออกไปยังจีนมากกว่า หากพูดถึงภาคท่องเที่ยว ยิ่งไม่เกี่ยวกับ สถานการณ์เทรดวอร์โดยตรง เพราะเขามองว่า “ยิ่งเงินดอลลาร์แข็ง เงินบาทอ่อน ต่างชาติยิ่งอยากมาเที่ยวไทย ” ที่สำคัญ คือ ธุรกิจที่เกี่ยวกับเฮลธ์แคร์และเวลเนส จะเติบโตด้วย
ด้วยเหตุนี้ สารัชถ์ จึงกล่าวในตอนท้ายว่า “เรามีความหวังที่ดี” ส่วนปัญหา หนี้ครัวเรือน หนี้สาธารณะ หรือ ยอดขายรถยนต์ลดลง ก็ต้องแก้กันไป ปัญหาเรื่องการท่องเที่ยว เรื่องความปลอดภัย เรื่องข่าวลักพาตัวคนจีน ก็ต้องแก้ แต่ก่อนประเทศไทยเคยเป็นมาตรฐานให้ประเทศอื่นมาแข่งกับประเทศไทย แต่ตอนนี้ประเทศอื่นแซงประเทศไทยแล้ว
“เศรษฐกิจไม่ได้หยุดรอเรา” สารัชถ์ กล่าว พร้อมเผยว่า วันนี้ประเทศไทยค่อนข้าง Stable ถ้ายังอยู่กับที่ จะกลายเป็นถอยหลัง “ขึ้นอยู่กับว่า เราต้องการให้ประเทศเป็นแบบไหน”


