posttoday

'อี้อู โมเดล' บุกตลาดโลก ต้องพลิกคู่แข่งเป็นคู่ค้า ไทยวินวิน

24 มกราคม 2554

ด้วยทุนสำรองมหาศาลและขนาดเศรษฐกิจของจีน ซึ่งปีที่ผ่านมาได้แซงหน้าญี่ปุ่นขึ้นมาเป็นอันดับสองของโลก รองแค่สหรัฐอเมริกา ทำให้ช่วงที่ผ่านมา ทุนจีนที่มีสำรองมากกว่าขนาดจีดีพีของเมืองไทย ได้ล้นทะลักออกไปลงทุนนอกประเทศจำนวนมากในหลากหลายธุรกิจแบบเป็นกองทัพ ลงทุนซื้อทั้งแหล่งผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ พลังงาน สถาบันการเงิน ลงทุนธุรกิจต่างๆ รวมถึงศูนย์กระจายสินค้า ที่มีแผนจะกระจายครอบคลุมไปทั่วโลก รวมถึงไทยที่จีนบอกว่าจะใช้กระจายในอาเซียน ซึ่งมีประชากรกว่า 500 ล้านคน

การเปิดตัวของโครงการศูนย์แสดงสินค้านานาชาติไทยจีน (Thai China International Product City) หรือไชนา ซิตี คอมเพล็กซ์ ที่ใช้รูปแบบหรือโมเดลจากตลาดค้าส่งอี้อู มณฑลเจ้อเจียงของประเทศจีนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงเป็นพลวัตหนึ่งของยุคทุนจีนบุกโลก ซึ่งมูลค่าการลงทุนในครั้งนี้สูงถึง 4.5 หมื่นล้านบาท บนพื้นที่ 2 ล้านตารางเมตร ย่านถนนบางนาตราด

สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ กล่าวว่า อี้อู โมเดล ได้ขยายไปแล้วในหลายประเทศ อาทิ ดูไบ สเปน และรัสเซีย และครั้งนี้ประเทศไทยซึ่งถือเป็นประเทศที่เหมาะสม เพราะจีนหวังจะได้ประโยชน์จากความร่วมมือภายใต้กรอบประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

การลงทุนของจีนครั้งนี้ มีทั้งผลกระทบและผลดี ซึ่งหลายประเทศที่อี้อู โมเดล ขยายไป รายย่อยจะได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะธุรกิจค้าส่ง ส่วนภาคการผลิต ถึงอย่างไรก็ต้องปรับตัว เพราะคงไม่สามารถไปปิดกั้นการค้าเสรีได้สมภพ กล่าว

การขยายศูนย์กระจายสินค้าในลักษณะของตลาดค้าส่งอี้อู เป็นส่วนหนึ่งในการกระจายสินค้าจีน ซึ่งถือเป็นแหล่งผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นการขยับจากธุรกิจต้นน้ำสู่กลางและปลายน้ำ แน่นอนว่าผู้ประกอบการไทยต้องได้รับผลกระทบจากการเปิดตัวของไชนา ซิตี คอมเพล็กซ์ ครั้งนี้ โดยเฉพาะผู้ค้าส่ง

ขณะนี้ข้อดีคือ เม็ดเงินลงทุนที่เข้ามาทำให้เกิดการจ้างงาน การติดต่อค้าขายระหว่างจีนไทยประเทศอื่นๆ เกิดประโยชน์ต่อเนื่องสู่ธุรกิจโรงแรม การท่องเที่ยว เพราะฉะนั้นเมื่อไม่สามารถปิดกั้นได้ ก็ต้องปรับตัว โดยเฉพาะการเปลี่ยนจากภาคการผลิตสู่ธุรกิจบริการมากขึ้น

คมสรรค์ วิจิตรวิกรม ประธานศูนย์บริการส่งออกโบ๊เบ๊ กล่าวว่า การเกิดขึ้นของศูนย์ค้าส่งไชนา ซิตี คอมเพล็กซ์ ครั้งนี้ เกิดวิกฤตแน่นอนต่อธุรกิจเอสเอ็มอีมูลค่ากว่าแสนล้านบาทในประเทศไทย ประการแรก คือ การสูญเสียอาชีพของผู้แทนจำหน่าย (ค้าส่ง) ซึ่งก่อนหน้านี้เคยซื้อสินค้าจากจีนมาขาย แต่วันนี้จีนเข้ามาขายเองแล้ว

ประการที่ 2 ความมั่นคงต่ออาชีพ เพราะก่อนหน้านี้ไทยเป็นผู้ออกแบบและให้จีนผลิต แต่วันนี้จีนเข้ามามีหน้าร้านเป็นของตัวเอง การก๊อบปี้เกิดง่ายขึ้น ทำให้อุตสาหกรรมโดยภาพรวมหดตัว ไม่ใช่ในแง่ยอดขาย แต่หดตัวในด้านความเป็นเจ้าของ

ผมไม่เห็นด้วยกับการเข้ามาของศูนย์กระจายสินค้าจีนในตอนนี้ มันเร็วเกินไป ทำให้ผู้ประกอบการปรับตัวไม่ทัน ไม่ผิดที่รัฐบาลจะต้องปฏิบัติตามหลักสากลในการเปิดเสรี แต่อย่าทำลับๆ ล่อ ๆ ต้องมีความจริงใจในการช่วยเหลือผู้ประกอบการคมสรรค์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่สามารถปิดกั้นการลงทุนดังกล่าวได้ ก็ควรเปลี่ยนจากศัตรูเป็นมิตร ที่สำคัญรัฐบาลต้องมีความจริงใจในการช่วยเหลือผู้ประกอบการ โดยเฉพาะเอสเอ็มอี ความช่วยเหลือที่ไม่ใช่เข้ามาสอน ฝึกอบรม เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ผู้ประกอบการถนัดอยู่แล้ว

สิ่งที่เราต้องการคือ แหล่งเงินทุนและการนำผู้ประกอบการไปบุกตลาด สร้างไทยทาวน์ในประเทศต่างๆ เหมือนอี้อู โมเดล ได้จะยกมือให้คมสรรค์ ระบุ

พงษ์ศักดิ์ นันตวรรณกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอส.พี.ที.แมเนจเม้นท์ ผู้บริหารศูนย์ค้าส่งค้าปลีก แพลทินัม ประตูน้ำ กล่าวว่า การเกิดขึ้นของไชนา ซิตี คอมเพล็กซ์ จะทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องตายหมู่อย่างแน่นอน ทั้งผู้ผลิตสินค้า พ่อค้าคนกลาง ผู้ขาย เพราะคงไม่สามารถไปสู้ทุนจากจีนได้

ไม่เข้าใจว่ารัฐบาลให้การสนับสนุนการลงทุนจากต่างชาติ ทั้งที่ศูนย์การค้าในเมืองไทย โดยเฉพาะย่านประตูน้ำ จตุจักร โบ๊เบ๊ ล้วนเป็นแหล่งขายส่งสินค้าแฟชั่น ไลฟ์สไตล์ ที่มีศักยภาพในการเป็นฮับของอาเซียนได้ แต่ที่ผ่านมารัฐบาลไม่เคยเหลียวแลพงษ์ศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย

ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การเข้ามาสร้างศูนย์การค้าส่งและกระจายสินค้าครบวงจรของจีนในไทยจะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมและภาคค้าส่งค้าปลีกของไทย ซึ่งจะถูกสินค้าจีนแย่งตลาดทั้งในประเทศและตลาดประเทศเพื่อนบ้านไปได้ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่ไทยแข่งขันกับจีนไม่ได้ เช่น กลุ่มเครื่องนุ่งห่ม รองเท้า

ทั้งนี้ ผลกระทบดังกล่าวจะกระทบต่ออุตสาหกรรมและร้านค้าปลีกประเภทธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) มากที่สุด เนื่องจากมีต้นทุนสูง จะไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าของประเทศจีนได้ รองลงมาจะกระทบต่ออุตสาหกรรมรายคลัสเตอร์ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้าราคาถูก และอุตสาหกรรมที่ต้องใช้แรงงานและไม่ใช้เทคโนโลยีมาก เช่น เสื้อผ้า เครื่องหนัง กระเป๋า และรองเท้า ซึ่งเข้ามาแย่งตลาดผู้ประกอบการไทยแล้ว 6070%

นอกจากนี้ จะส่งผลกระทบต่อห้างสรรพสินค้าและร้านค้าปลีกของไทย เพราะศูนย์แห่งนี้จะทำให้ผู้ซื้อส่วนหนึ่งหันไปซื้อสินค้าจากจีนแทน โดยเฉพาะตลาดที่เป็นยี่ปั๊วและซาปั๊วที่มีการซื้อสินค้าไปขายต่อ

รองประธาน ส.อ.ท. แนะนำว่า รัฐบาลไทยรวมทั้งผู้ประกอบการจำเป็นต้องเร่งปรับตัวเพื่อรองรับการเปิดเสรีอย่างแท้จริง เช่น ผู้ประกอบการจำเป็นต้องลดต้นทุน ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐาน สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก และอย่าผลิตสินค้าไปขายแข่งกับจีน

ขณะที่ภาครัฐอาจจะต้องช่วยกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยการสร้างศูนย์กระจายสินค้าสำหรับสินค้าไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศ มุ่งเน้นให้ขายสินค้าของไทยเท่านั้นเหมือนที่จีนกำลังทำ เพื่อขยายตลาดให้กว้างขึ้น เพราะที่ผ่านมาแม้ไทยจะมีศูนย์กระจายสินค้าในต่างประเทศ แต่ภายในศูนย์จะมีสินค้าจากที่อื่นมาขายด้วย ไม่ใช่สินค้าจากไทยเพียงอย่างเดียว

นอกจากนี้ รัฐบาลควรจะมีการตรวจสอบการนำเข้าที่ถูกต้องสำหรับสินค้าจีน ทั้งการใช้สิทธิเอฟทีเอ ภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) การเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม การทำงานของแรงงานต่างด้าวจากจีน ซึ่งประเด็นเหล่านี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้ธุรกิจไทยยังสามารถแข่งขันกับจีนได้

ข่าวล่าสุด

บอร์ดเคาะแล้ว “ทรงพล” MD ออมสินคนใหม่ รอชัดอำนาจรักษาการเซ็นได้หรือไม่